[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๘ เงามืด (陰)
>> กลับไปตอนที่ ๗
ผมเดินเข้ามาถึงห้องเรียนและนั่งลงกับที่นั่งของตัวเอง เวลานี้เป็นเวลาที่คนยังดูบางตาอยู่
เมื่อคืนก็ยังคงฝันเห็นคุณแม่ถูกเผาลงในกองเพลิงเหมือนอย่างเช่นเคย แต่ว่าวันนี้ตอนตื่นมากลับรู้สึกเพลียกว่าทุกที สงสัยเป็นเพราะว่าเมื่อวานฉลองกันหนักไปหน่อยหรือเปล่านะ เย็นนี้ต้องไปทำงานด้วยสิ
หลังจากที่ผมนั่งเงียบอยู่สักพัก ก็สังเกตเห็นประตูเปิดขึ้น
“ไง อรุณสวัสดิ์”
ผมลุกจากที่นั่ง เดินตรงเข้าไปหาฮิซาชิที่กำลังเดินเข้าห้องมาด้วยท่าทีร่าเริง
“อรุณสวัสดิ์”
ผมทักตอบพร้อมกับเดินอ้อมไปยังด้านหลังของฮิซาชิ จากนั้นก็ไม่รอช้า หยิบเอารองเท้าสำหรับใส่เดินในอาคารฟาดเปรี้ยงเข้าใส่เต็มหัว
“โอ๊ย! อะไรของนายเนี่ย จู่ๆก็...”
“ยังจะมีหน้ามาพูดอีก นายส่งอะไรให้น้องสาวของคนอื่นกัน หา?”
“หมายถึง?”
“ก็เรื่องของขวัญที่ให้มากินะไง”
“อ๋อ เราคิดมานานแล้วล่ะ ว่ามากินะจังน่ะเหมาะกับชุดนางพยาบาล”
“แล้วทำไมต้องเป็นชุดนางพยาบาลด้วยล่ะ?”
“มันเป็นงานอดิเรกน่ะ”
ดูท่าจะเต็มไปด้วยความคิดแย่ๆทั้งนั้นเลยนะ หมอนี่
“ไอ้โลลิคอนเอ๊ย” *
“งั้นนายก็เป็นซิสคอนล่ะนะ” *
หนอย ใครเป็นซิสคอนกัน! ถึงยังไงก็คิดแค่เป็นน้องสาวเท่านั้นแหละ เสียมารยาทจริงๆหมอนี่
ในตอนนั้นประตูก็ได้เปิดขึ้นและโคโนะก็เดินเข้ามา
“อรุณสวัสดิ์”
โคโนะกล่าวทักทายแล้วก็เดินเข้ามาหา
“เสียงดังจนได้ยินไปถึงตรงทางเดินเลย ระวังนะ คุยกันเรื่องแบบนี้ถ้าจะให้ดีน่าจะเลือกเวลาและสถานที่สักหน่อย”
งั้นเหรอ จะว่าไปก็เผลอส่งเสียงดังไปจริงๆนั่นล่ะ แต่ก็โชคดีนะ ที่ไม่ถึงขั้นเป็นเรื่องทะเลาะกัน
พูดจบเธอก็เดินกลับที่นั่ง
“ยังไงก็เถอะ หยุดล้อเล่นแบบนี้ซะที ไม่งั้นเราจะโกรธจริงๆด้วย”
ผมหันกลับมาพูดกับฮิซาชิต่อ
“เข้าใจแล้วน่ะ ก็แค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง ไว้จะส่งของขวัญไปให้ใหม่ละกัน”
“ไม่จำเป็นต้องให้ของขวัญใหม่หรอก มากินะเองก็ท่าทางจะดีใจมากอยู่แล้วด้วย”
“อื้อ”
จากนั้นผมก็เดินกลับมายังที่นั่งของตัวเอง
ระหว่างที่กำลังนั่งอยู่สักพัก ก็รู้สึกว่ามีใครกำลังดึงแขนเสื้อผมอยู่ จึงหันกลับไปหา ก็พบโคโนะยืนอยู่
“อะไรเหรอ?”
“...นึกออกแล้ว...”
“นึกออก...? เรื่องอะไรเหรอ?”
“............”
โคโนะทำท่าเหมือนกำลังหาอะไรอยู่ หาอะไรกันนะ? ......อ่อ ไอ้นั่นเอง อุตส่าห์เอามาแล้ว ยังไงก็ต้องให้ยืมล่ะนะ
“หมายถึงเกมแวเรียนต์ไฟต์นั่นน่ะเหรอ”
“อื้อ ตามนั้น”
โคโนะพยักหน้าขึ้น ดูเหมือนว่าจะตั้งหน้าตั้งตารออยู่ไม่ใช่น้อยเลยเหมือนกันแฮะ
“เอามาอยู่แล้วล่ะ”
แล้วผมก็หยิบของที่เตรียมมาให้เธอ เมื่อถามถึงเครื่องเกม เธอก็บอกว่าไม่มี แถมถามว่ารู้วิธีเล่นหรือเปล่า เธอก็ตอบว่าไม่รู้เลยสักนิด ผมจึงต้องอธิบายวิธีใช้ให้เธอฟัง เพราะถ้าเกิดเอาไปแล้วทำพังขึ้นมาก็คงจะแย่
“ต้องใช้โทรทัศน์ด้วยเหรอ?”
“......โคโนะไม่มีโทรทัศน์เหรอ?”
ก็รู้อยู่หรอกว่าไม่ใช่ทุกบ้านที่จะมีโทรทัศน์ใช้ แต่ไม่คิดว่าจะอยู่ใกล้ตัวขนาดนี้เลยแฮะ
“เอาไงดี ถ้าไม่มีโทรทัศน์ก็เล่นไม่ได้ซะด้วยสิ”
“ไม่เป็นไร จะซื้อเอา”
“...งั้นเหรอ”
“อธิบายต่อเถอะ”
จากนั้นผมก็เริ่มอธิบายต่อ ...ว่าแต่ อยู่ดีๆถึงขั้นซื้อโทรทัศน์เลยหรือนี่ ชักสงสัยว่าเธอใช้ชีวิตอยู่ยังไงกันนะ
--------------------
“นี่มันหมายความว่ายังไง”
นาโอยุกิกำลังจ้องเด็กหนุ่มและเด็กสาวตรงหน้าด้วยสายตาที่ดูเคร่งเครียด ดูเหมือนเขาจะเริ่มรู้ว่าผู้ป่วยหมดสติที่เกิดขึ้นบ่อยๆในระยะนี้นั้นเป็นฝีมือของชิโอริ
“ไม่เห็นต้องโกรธกันเลยนี่นา ช่วยไม่ได้นี่ ก็เพื่อการทดลอง”
ชิโอริตอบ
“ฉันไม่ได้โกรธเรื่องนั้น หมายถึงเรื่องที่ว่าทำไมถึงได้ทำโดยไม่ยอมบอกฉัน แบบนี้ก็ให้การช่วยเหลือได้ลำบากน่ะสิ ช่วยรายงานเกี่ยวกับเรื่องการทดลองมาให้อย่างละเอียดด้วย”
“ถึงจะบอกอย่างนั้นก็เถอะ... ว่าแต่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วยังมีถอดวิญญาณใครอยู่อีกเหรอ?”
โมมิจิหันไปถามชิโอริ
“เปล่านะ น่าจะเป็นคนที่โดนถอดวิญญาณไปก่อนหน้านั้นแล้วเพิ่งจะมาถูกพบเอาตอนนี้มากกว่า”
“ยังไงก็เถอะ ช่วยระวังด้วย”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วค่ะ คราวหลังจะระวังค่ะ แค่นี้ก็เคลียร์แล้วสินะ”
“แล้วก็... มีเรื่องที่อยากจะถามอยู่อีกอย่าง”
“อะไรเหรอ?”
นาโอยุกิหันไปถามโมมิจิต่อด้วยสีหน้าที่จริงจัง
“พวกนักวิจัยในตอนนี้น่ะ ในสภาวะที่ร่างกายกับวิญญาณเป็นคนละคนกันอยู่แบบนี้ สุดท้ายแล้วจะเรียกว่าพวกเขาเป็นใครกันล่ะ”
“อ่อ เรื่องนั้นเองเหรอ ว่าแต่ทำไมถึงถามล่ะ?”
“แค่สนใจนิดหน่อยน่ะ”
“อืม... ใครกันดีนะ คือต่อให้วิญญาณจะเป็นตัวเก็บข้อมูลของคนก็ตาม แต่สิ่งที่สั่งการร่างกายอยู่ก็คือสมอง สิ่งที่คิดอยู่ก็คือสมอง แต่ว่าวิญญาณเองก็มีผลอยู่เหมือนกัน ดังนั้นแล้วก็น่าจะกลายเป็นคนใหม่ที่เกิดจากร่างกายกับวิญญาณผสมปนกันสินะ”
“ร่างกายจะไม่เป็นอะไรแน่เหรอ? เห็นเมื่อวานเห็นยังบอกว่าเหมือนยังมีหมอกขาวบางๆอยู่ในหัวอยู่เลย”
“อืม... เรื่องนั้นคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ถ้ายังใช้ร่างกายตอนนี้ไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็คงจะชินเองล่ะ ตอนนี้ยังเป็นแค่ช่วงทดลองขับใหม่ๆเท่านั้นนี่ เพราะฉะนั้นถ้าวิญญาณคุ้นเคยแล้วล่ะก็ ถึงตอนนั้นแม้แต่บุคลิกก็อาจจะเปลี่ยนไปเลยก็ได้”
“ปล่อยไว้ในสภาพที่ยังไม่คุ้นเคยแบบนี้ไปจะดีเหรอ?”
“ไม่ต้องห่วง ถ้าจะมีละก็คงจะแค่ประมาณว่าไม่สามารถตามหาความทรงจำของเจ้าของร่างเจอ หรือว่าประสาทสัมผัสทั้งห้าอาจจะช้าลงนิดหน่อย อะไรประมาณนี้เท่านั้นล่ะ”
“แล้วอีกเรื่อง คนพวกนั้นหลับไปตั้ง ๑๐ ปี ทำไมถึงได้ดูไม่แก่ขึ้นเลยล่ะ”
“คงเป็นเพราะว่าอยู่ในสภาวะที่ตัดขาดออกจากการไหลของห้วงเวลาภายนอกเนื่องจากการที่วิญญาณโดนถอดออกมาล่ะมั้ง”
“ถ้างั้นแล้วชิโอริล่ะ ทำไมถึงยังโตขึ้นได้ล่ะ”
“ก็เพราะว่าเด็กคนนี้ไม่ได้ถูกถอดวิญญาณออกน่ะสิ แค่โดนทำให้หลับไปเองด้วยพลังเวทย์เท่านั้น ดังนั้นก็เลยไม่จำเป็นต้องฝังวิญญาณคนอื่นให้ ส่วนตอนนี้ที่ขยับอยู่ได้ก็ด้วยพลังเวทย์ของฉันล่ะนะ”
“ช่วยได้มากเลยล่ะ ถ้าไม่ได้ใช้พลังเวทย์อยู่ละก็ แม้แต่เดินก็คงยังทำไม่ได้เลย”
ชิโอริพูดแทรกขึ้น
“หมดคำถามแล้วสินะ ถ้าอย่างนั้นฉันไปล่ะนะ”
“ไปไหน? ยังคุยกันไม่จบเลย”
“ปาจิงโกะน่ะ ถ้ามีอะไรจะบ่นอีกละก็ ไว้คราวหน้านะ”
โมมิจิพูดตัดบทค้างไว้แค่นั้น แล้วก็เดินออกจากห้องไป
“มีอะไรอยากจะถามอย่างนึง”
นาโอยุกิถามชิโอริซึ่งยังอยู่ในห้อง
“หืม? อะไรเหรอ?”
“เป้าหมายของโมมิจิคืออะไรกัน? แล้วก็... ทำไมชิโอริถึงได้ให้ความร่วมมือด้วยล่ะ”
“ก็เพราะมีเป้าหมายอยู่ด้วยน่ะ ก็เลยคอยช่วย แต่เรื่องเนื้อหานั้นเป็นความลับนะ อ้อ ยังไงตอนนี้ก็ไม่คิดจะรบกวนอะไร ไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงหรอกน่ะ คุณพ่อ”
ชิโอริพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนจะหยอกเล่น จากนั้นก็เดินจากไป ในห้องเหลือเพียงนาโอยุกิซึ่งกำลังทำท่ากุมขมับ ในขณะเดียวกันก็หันไปเริ่มทำงานที่ทำค้างไว้บนโต๊ะต่อ
--------------------
ผมออกมาที่แผงขายอาหารเพื่อซื้อขนมปังทานเป็นมื้อกลางวัน เมื่อมาถึงก็เห็นเหล่านักเรียนผู้หิวโหยกำลังอลหม่านอยู่เต็มไปหมด
ก็เลยตัดสินใจที่จะรออยู่สักพักให้คนน้อยลงก่อน ในตอนนั้นเองก็ได้สังเกตเห็นโนมิยะซังที่กำลังมองจ้องไปยังแผงขายอาหาร
“คนเยอะจังเลยนะ เป็นแบบนี้ประจำเลยเหรอ?”
“ก็ส่วนใหญ่น่ะ ว่าแต่เพิ่งเคยมาทานที่แผงขายเหรอ”
“ทุกทีทานที่โรงอาหารน่ะ”
“แล้วทำไมวันนี้ถึง?”
“ก็พอนั่งทานอยู่คนเดียวก็จะชอบมีคนเข้ามานั่งใกล้ๆน่ะ เราอยากทานคนเดียวเงียบๆ”
เพราะเป็นนักเรียนใหม่ที่น่ารักแถมภายนอกยังดูอัธยาศัยดี ก็เลยได้รับความนิยมไม่ว่าใครก็อยากเข้าใกล้สินะ
“ก็เพราะว่าโนมิยะซังน่ารักน่ะสิ”
“อย่ามาพูดเล่นน่ะ”
“เปล่านะ ไม่ได้พูดเล่น”
โนมิยะซังหันมาจ้องหน้าผมเหมือนจะตั้งใจกลบเกลื่อน แต่เพราะหน้าแดงแบบนั้นทำให้กลับดูไม่น่ากลัวเลย
“ก็เพราะว่าเล่นละครเป็นนักเรียนที่ดีพร้อมสมบูรณ์อยู่แบบนี้ไม่ใช่เหรอ ผลมันก็ต้องเป็นแบบนี้นั่นล่ะ”
“เฮ้อ... โลกนี้นี่มันยุ่งยากจริงๆ”
โนมิยะซังเริ่มทำหน้าเบื่อโลก ในขณะเดียวกันนั้นที่แผงขายอาหารคนก็เริ่มดูบางตาลงแล้ว
“แล้วมื้อเที่ยงจะเอาไงต่อไปล่ะ เดี๋ยวเราจะเข้าไปซื้อ จะให้ซื้อมาให้ด้วยเอามั้ย”
“ไม่ต้องหรอก”
“ไม่ต้องเกรงใจหรอก ยังไงก็รออยู่ตรงนี้นะ”
จากนั้นผมก็เบียดฝ่าฝูงชนแทรกเข้าไปยังแผงขายอาหารทันที
“เอ๋? เดี๋ยวสิ ฟุชิมิคุง?”
ได้ยินเสียงเธอดังมาจากข้างหลัง แต่ผมไม่มีเวลาจะมาสนใจกลับไปตอบแล้ว ตอนนี้ต้องคิดแต่หาที่ว่างเพื่อแทรกเข้าไปให้ได้ ผมรีบตรวจชั้นวางของตรงหน้าแล้วก็ตะโกนหาคุณป้าคนขาย
“พี่สาวครับ ขอขนมปังโครกเกะ กับขนมปังไส้ถั่วแดง”
--------------------
“ร้อนจังเลยนะ”
“เพราะฉะนั้นเวลานี้ก็เลยไม่มีใครไงล่ะ”
หลังจากซื้อขนมปังเสร็จ พวกเราก็ขึ้นมาทานกันข้างบนดาดฟ้า เพราะโนมิยะซังบอกว่าต้องการหาที่ที่ไม่มีใคร
ว่าแต่เมื่อกี้เหนื่อยแทบแย่ ยังดีที่รู้ข้อระวังอยู่อย่าง ก็คือคุณป้าที่ขายน่ะ เขาชอบให้คนเรียกว่า “พี่สาว” นั่นเป็นกฎที่จำเป็นต้องรู้เลยล่ะ
“ฟุชิมิคุงน่ะทานขนมปังตลอดเลยเหรอ?”
“ส่วนใหญ่ก็ขนมปังน่ะ นานๆทีก็มีไปโรงอาหารบ้าง”
“แล้วไม่มีปิ่นโตอะไรเลยเหรอ? อาศัยอยู่กับพี่สาวไม่ใช่เหรอ?”
“เมื่อก่อนก็เคยมีให้ทำให้น่ะ แต่ว่าไม่อยากเป็นการรบกวน สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนมาเป็นทานขนมปังแทน จะให้ทำเองก็ยุ่งยากเกินด้วยสิ”
“งั้นเหรอ”
“เรื่องนั้นทำไมเหรอ?”
“...แค่สนใจนิดหน่อยน่ะ ว่า ๑๐ ปีที่ผ่านมา ฟุชิมิคุงใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง”
“๑๐ ปีที่ผ่านมาน่ะเหรอ? ก็ปกติดีนะ เป็นช่วงเวลา ๑๐ ปีที่ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ... ว่าแต่ทำไมอีกเหรอ?”
“ระหว่าง ๑๐ ปีที่แสนจะน่าเบื่อของเรา... กับ ๑๐ ปีที่แสนจะธรรมดาของฟุชิมิคุง... คิดว่าทำไมมันถึงแตกต่างกันถึงขนาดนี้ล่ะ? ......เพราะอะไรกันนะ”
เหมือนโนมิยะซังจะไม่ได้กำลังถามผมอยู่ แต่กำลังพูดอยู่กับตัวเอง เห็นแบบนี้แล้วผมควรที่จะทำยังไงดี จะเงียบอยู่แบบนี้ก็คงจะไม่ดีสินะ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมจึงควรจะต้องเริ่มลองถามดูในแบบที่ไม่รู้อะไรเลย
“โนมิยะซังกำลังเสียใจกับช่วงเวลา ๑๐ ปีนี้อยู่เหรอ?”
“เสียใจ.... จะว่างั้นก็... คิดว่ามันต่างจากคำว่าเสียใจอยู่นิดหน่อยนะ ไม่ใช่ว่าเสียใจที่ยังมีชีวิตอยู่หรอก เพียงแต่ว่า... แค่มีความรู้สึกว่าช่วง ๑๐ ปีมานี้ ได้เพียงแต่ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆเท่านั้น”
ราวกับนัยน์ตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยม่านเงาบางๆปกคลุมอยู่ขณะที่กำลังค่อยๆพูดอยู่นั้น
“เพราะคิดว่าอาจจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปสักนิดนึงก็ยังดี ถึงได้กลับมาที่นี่”
“ที่นี่เองก็ยังไม่เจออะไรเหรอ?”
“อย่าว่าแต่ไม่เจอเลย ยังกลับต้องกลับมาเจอกับคนที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขธรรมดาตลอด ๑๐ ปีที่ผ่านมา”
หมายถึงตัวเราอย่างนั้นสินะ รู้สึกเหมือนจงใจพูดกระทบอยู่ยังไงอย่างงั้น แบบนี้แล้ว ผมควรจะตอบยังไงกลับไปดีล่ะ?
“ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรหรอก เราไม่ต้องการจะเรียกร้องความเห็นใจหรือความสงสารเวทนาอะไรทั้งนั้น เพียงแค่รู้สึกอิจฉาฟุชิมิคุงอยู่เท่านั้น”
“เรานี่นะ?”
“ใช่ ยิ่งพอมองถึงจุดนั้นแล้วก็คิดได้แบบนั้น ว่ามันช่างแตกต่างจากเราเสียเหลือเกิน”
“............”
“...ขอโทษที่พูดเรื่องน่าเบื่อให้ฟังนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก”
“รีบไปกันเถอะ”
พูดจบโนมิยะซังก็ขยำถุงขนมปังที่ทานเสร็จแล้วจากนั้นก็ลุกขึ้น
“โนมิยะซัง ขอพูดอะไรอย่างนึงนะ”
ผมส่งเสียงเรียกโนมิยะซังที่กำลังจะเดินจากไปให้หยุด
“อะไร?”
“ไม่ได้จะแก้ตัวอะไรหรอกนะ แต่ว่าเราเองก็ไม่ได้มีแต่เรื่องสนุกนักหรอก ช่วง ๑๐ ปีนี้น่ะ”
“แต่ว่าก็ยังยืนหยัดขึ้นได้ใช่มั้ยล่ะ? เวลานี้ก็น่าจะมีความสุขดี”
“โนมิยะซังเองก็จะต้องหาความสุขนั้นเจอได้แน่นอน ไม่อย่างนั้นจะให้เราช่วยออกตามหาด้วยกันมั้ยล่ะ?”
“เกรงใจน่ะ เราไม่ชอบให้ใครมารู้สึกสงสารเวทนาหรอก”
“ไม่ได้ตั้งใจแบบนั้นสักหน่อย ว่าแต่ไม่ชอบให้คนมาเห็นใจงั้นเหรอ?”
“การยัดเยียดความใจดีให้เพื่อความรู้สึกพอใจส่วนตัวน่ะมันกลับทำให้น่าลำบากใจนะ”
“แต่ยังไงมันก็คือความใจดีอยู่ดีไม่ผิดหรอก รับเอาไว้ง่ายๆจะดีกว่านะ จะได้ไม่เกิดเรื่องขุ่นเคืองบาดหมางกัน แบบนี้น่าจะสบายออกนะ”
“...นิสัยแย่กว่าที่คิดไว้จริงๆเลยนะ ฟุชิมิคุงเนี่ย”
โนมิยะซังถอนหายใจกับคำพูดที่ดูเหมือนไม่มีอะไรนั้น จากนั้นสายตาของเธอก็เริ่มจับจ้องมาทางผม
“...ดูเป็นคนที่มีความสุขดีจังเลยนะ ฟุชิมิคุง”
เธอพูดด้วยน้ำเสียงฟังดูเหมือนเหนื่อยใจ แต่ก็ราวกับแฝงไว้ด้วยความดีใจ จากนั้นก็หันไปทางประตู
“ขอบใจสำหรับขนมปังนะ”
“ไม่เป็นไร”
เธอพูดโดยที่ไม่ได้หันกลับมา จากนั้นก็เดินออกไป ผมมองเธอที่กำลังเดินจากไปอยู่เงียบๆ จากนั้นก็หันมาทานขนมปังที่ยังทานไม่หมดอยู่นั้นให้หมดแล้วจึงค่อยกลับไปยังห้องเรียน
--------------------
ภายในห้องที่ค่อนข้างมืดห้องหนึ่ง ปรากฏภาพของคนหลายคนกำลังทำงานอย่างไม่เว้นว่างอยู่ตลอดเวลา มีทั้งคอมพิวเตอร์และชั้นหนังสือวางเรียงรายอยู่มากมาย ครึ่งห้องเต็มไปด้วยอุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือวางอยู่
“เป็นไง ราบรื่นมั้ย?”
“แน่นอนค่ะ แม้ว่าจะเพิ่งปรับปรุงใหม่ แต่ว่าพอลองคิดดูแล้วก็กลับมีข้อมูลดีๆหลงเหลืออยู่มากมายเลยทีเดียว”
“ห้องนี้เป็นห้องที่ถูกซ่อนเอาไว้อย่างแยบยลตั้งแต่ตอนที่บูรณะโรงพยาบาลใหม่ในครั้งนั้น กว่าจะมารู้ว่ามีห้องนี้อยู่ตึกหลักก็สร้างเสร็จไปเรียบร้อยแล้ว”
“ก็เลยปล่อยทิ้งเอาไว้หรือคะ?”
“ฉันไม่อยากไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของชายคนนั้น ไม่ได้อยากจะไปรู้ว่าทำอะไรเอาไว้”
นาโอยุกิหันสายตาไปมองหญิงสาวที่กำลังทำงานไปพร้อมกับรายงานผล หญิงสาวเริ่มปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“นั่นมันอะไรน่ะ?”
“หืม? นี่น่ะหรือคะ? แค่แมกนีเซียมกับโปแตสเซียมคลอเรตไว้ทำดินปืน เป็นของอันตรายนิดหน่อยน่ะค่ะ”
“จะเอาของแบบนั้นไปทำอะไรน่ะ?”
“เปล่าค่ะ แค่งานอดิเรกนิดหน่อย นี่ก็เดือนกันยายนแล้วยังไม่เห็นดอกไม้ไฟเลย ก็เลยคิดจะทำขึ้นสักหน่อย”
“...จะยังไงก็ทำไป อย่าให้เป็นอุปสรรคต่องานก็พอ”
“เรื่องนั้นเข้าใจดีอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้งานวิจัยก็คืบหน้าไปด้วยดี เพราะได้ตัวอย่างที่มีค่ามากมายมา แต่ว่าน่าสนใจจังเลยนะคะ ร่างนี้”
“น่าสนใจ?”
“ค่ะ ทั้งความคิด ความสามารถ การแสดงออก ช่างเป็นพรสวรรค์เลยจริงๆ ยอดเยี่ยมเสียจนน่าอิจฉาเลยจริงๆ”
“ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น แต่ ๑๐ ปีที่ผ่านมาก็กลับไม่ได้ผลลัพธ์อะไรออกมาเลยไม่ใช่หรือไง?”
“เครื่องไม้เครื่องมือของเมื่อ ๑๐ ปีก่อนกับตอนนี้น่ะมันผิดกันราวฟ้ากับดิน ราวดวงแขกับตะพาบเลยนะคะ ที่เห็นได้ชัดก็คอมพิวเตอร์นี่ล่ะค่ะ” *
“ปัญหามีอยู่แค่เรื่องของอุปกรณ์เครื่องมือเท่านั้นงั้นเหรอ?”
“ก็ไม่ใช่แค่นั้นหรอกค่ะ น่าจะเป็นความรู้สึกอยากที่จะทำด้วย”
“หมายถึงตอนนั้นไม่มีใจที่จะทำงั้นเหรอ?”
“เมื่อ ๑๐ ปีก่อน ยาซากะ จิงโงโรวนั้นเขาแค่ต้องการแสวงหาความไม่แก่ไม่ตายเท่านั้น การทำแค่เพื่อความต้องการของคนอื่นมันก็คงจะไม่เต็มที่ใช่มั้ยล่ะคะ จะให้พยายามอย่างเต็มที่ก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องของตัวเองเท่านั้น”
“หมายความว่าตอนนี้มีเรื่องอะไรที่ตัวเองต้องการอยู่งั้นเหรอ?”
“แน่นอนค่ะ มีเรื่องที่น่าสนใจอยู่ เพื่อที่จะเข้าใจมันจึงทำให้ต้องพยายามอย่างเต็มที่ ถ้าโชคดีอาจจะได้ทั้งอำนาจและเงินมาครอบครอง ทั้งยังอาจจะได้จารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ด้วยนะคะ”
“อย่าได้หลงระเริงกับความต้องการของตัวเองให้มากนักล่ะ”
“คุณเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือไงกันล่ะคะ”
หญิงสาวยิ้มตอบขึ้นด้วยสายตาที่ดูมีเล่ห์กล
“แล้ว... ที่ก่อนหน้านี้บอกว่าเหมือนมีหมอกบางๆอยู่ในหัวล่ะ?”
“เรื่องนั้นดีขึ้นมากแล้วล่ะค่ะ เพียงแต่... พอจะค้นหาความทรงจำเก่าๆ ก็กลับชะงักอยู่น่ะค่ะ มีความทรงจำอยู่ส่วนนึงที่ไม่ว่าจะยังไงก็ไม่อาจตามหาเจอได้น่ะค่ะ”
“มันเป็นความทรงจำเกี่ยวกับอะไรล่ะ?”
“เกี่ยวกับการทดลองเมื่อ ๑๐ ปีก่อนนี่ล่ะค่ะ ความทรงจำส่วนหนึ่งในนั้นไม่ว่ายังไงก็นึกไม่ออก ถ้าให้เข้าใจตามที่เด็กชื่อฮิมุไก โมมิจินั่นบอกล่ะก็ น่าจะหมายความว่าเจ้าของร่างนี้ได้ปิดผนึกมันเอาไว้”
“ปิดผนึก? เรื่องแบบนั้นสามารถทำได้ด้วยเหรอ?”
“เป็นเรื่องที่เจ้าตัวอยากจะลืมให้ได้ ไม่อยากให้คนอื่นเห็น การที่จะหาความทรงจำส่วนนั้นได้ วิญญาณก็คงจำเป็นจะต้องคุ้นเคยก่อน”
“ถ้าอย่างนั้น หากเวลาผ่านไปก็อาจจะรู้ได้สินะ”
“ก็เป็นไปได้ล่ะค่ะ”
ในจังหวะที่หญิงสาวกำลังตอบอยู่นั้น ประตูห้องก็ได้ถูกเปิดขึ้นอย่างแรง
นาโอยุกิถามผู้ชายคนที่เปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ขอโทษครับ แต่ว่ามีปัญหาเกิดขึ้น”
“ปัญหา? มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับตัวอย่างงั้นเหรอ?”
หญิงสาวถามขึ้นอย่างตกใจ
“ไม่ใช่ครับ ที่เป็นน่ะคือทางคนของเราครับ”
--------------------
ผมกำลังอยู่ภายในห้องล็อบบีโรงพยาบาลที่มืดและเงียบ ได้ยินเพียงเสียงไม้ถูพื้นที่ตัวเองถูไปมาอยู่เท่านั้น ความเงียบสงบที่ช่างแตกต่างจากเมื่อตอนกลางวันอย่างสิ้นเชิง
“ต้องรีบทำให้เสร็จเร็วๆ”
เท่าที่เห็น งานยังไปได้ไม่ถึงไหนเลย ถ้าไม่รีบละก็-...
...- - ตึกตัก
“อะไรน่ะ?”
อยู่ดีๆก็เต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยชอบมาพากลที่ไม่อาจเข้าใจสาเหตุค่อยๆผุดเข้ามา จนผมเผลอเงยหน้าขึ้นมา ภาพที่เห็นก็มีเพียงแค่ทางเดินที่มืดสนิท มีแสงสว่างอ่อนๆลอดผ่านเข้ามาเพียงนิดเดียว ยิ่งมองยิ่งให้ความรู้สึกที่ไม่ดีเลย
หัวใจเริ่มเต้นรัวแรงขึ้น พอยิ่งมองเข้าไปที่ทางเดิน ก็เริ่มได้ยินเสียงบางอย่างใกล้เข้ามา นั่นเป็นเสียงพูดกับเสียงฝีเท้าของคนจำนวนมาก แล้วมันก็-...
เสียงประหลาดดังขึ้นทำให้ร่างกายผมสั่นกลัวด้วยความตกใจ จากนั้นก็มีผู้ชายคนหนึ่งพุ่งตรงเข้ามาหาผมซึ่งกำลังยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น
เสียงตะโกนเตือนดังขึ้น แต่ไม่ทันแล้ว...
“อ๊อก!”
ผมถูกชายคนนั้นกระแทกชนเข้าที่ท้องจนล้มลงหลังศีรษะกระแทกพื้นเบาๆ ทันใดนั้นภาพที่เห็นก็กลายเป็นสีขาวโพลนขึ้นมา
====================
* โลลิคอน เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่มีรสนิยมชอบเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ มักใช้บ่อยในทางอนิเมะหรือการ์ตูนญี่ปุ่น
* ซิสคอน เป็นคำที่ใช้เรียกบุคคลที่มีรสนิยมชอบน้องสาวของตัวเองหรือของคนอื่น มักใช้บ่อยในทางอนิเมะหรือการ์ตูนญี่ปุ่นเช่นกัน
* ราวดวงแขกับตะพาบ(月とスッポン) เป็นสำนวนญี่ปุ่น มีความหมายเดียวกับคำว่า ราวฟ้ากับดิน
--------------------
รวมศัพท์ท้ายตอน
逐一 ちくいち ทีละหนึ่งตามลำดับ,อย่างละเอียด,ทุกซอกทุกมุม
差支え さしつかえ สิ่งกีดขวาง,อุปสรรค
及ぼす およぼす มีผลกระทบถึง
試運転 しうんてん การทดลองขับ,การทดลองเครื่อง
隔絶 かくぜつ การตัดขาด(จากโลก),การแยกตัวอยู่โดดเดี่ยว
ごった返す ごったがえす อลหม่าน
威張る いばる หยิ่งยโส,ทนงตัว,เบ่ง
押し売り おしうり การยัดเยียดขาย
柔和 にゅうわ นิ่มนวล,อ่อนโยน
設備 せつび อุปกรณ์,เครื่องอำนวยความสะดวก
あわよくば ถ้าโชคดี,ถ้าโชคช่วย
引っ掛る ひっかかる ชะงัก,ติด,เกี่ยวข้อง,ถูกหลอกลวง,เป็นกังวล
動悸 どうき การเต้นรัว (ของหัวใจ)
真正面 ましょうめん ตรงทางด้านหน้า
後頭部 こうとうぶ ส่วนหลังศีรษะ
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ