[E×E] Empty×Embryo ~ ตอนที่ ๙ เกินเอื้อม (険しく)
>> กลับไปตอนที่ ๘
“ว่าแต่ นี่มันเรื่องอะไรกัน”
นาโอยุกิมองไปยังชายที่นอนกลิ้งอยู่ที่พื้นแล้วพูดขึ้น
“ชั้นเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน”
หญิงสาวตอบ
“ไม่ใช่ว่าเธอไปทำอะไรงั้นเหรอ”
“ตัวอย่างทดลองก็มีอยู่แล้ว ทำไมชั้นจะต้องใช้คนของเรามาทดลองด้วยล่ะคะ?”
“ถ้างั้นเพราะอะไรกันล่ะ?”
“นั่นน่ะสิคะ บางทีคนที่จะให้คำตอบได้ดีที่สุดน่าจะอยู่ข้างหลังคุณนะคะ”
ทั้งสองคนหันไปทางโมมิจิกับชิโอริ
“ที่ว่าเกิดอาการคลุ้มคลั่งนี่หมายถึงเป็นยังไงเหรอ?”
โมมิจิถาม
“ดูเหมือนว่าอยู่ดีๆก็จะเกิดอาละวาดแล้วก็วิ่งออกไปกัดใส่เด็กหนุ่มคนที่ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลน่ะค่ะ ส่วนพวกเอกสารข้อมูลก็เละกระจัดกระจาย ฮาร์ดแวร์ก็มีอันต้องขึ้นสวรรค์ไปอันนึงเลย คิดไปเองหรือเปล่านะว่ามันช่างเหมือนกับเหตุการณ์เมื่อ ๑๐ ปีก่อนจริงๆเลย”
“ดูเหมือนจะยังใช้ไม่ได้จริงๆสินะ แต่ก็ ยังไงผลลัพธ์มันก็ต่างกันออกไปตามบุคคลล่ะ ขนาดการผ่าตัดปลูกถ่ายอวัยวะโดยมนุษย์เองก็ยังอาจจะมีผลข้างเคียงเลยใช่มั้ยล่ะ นี่ก็เหมือนกันล่ะ”
“สรุปว่านี่เป็นผลข้างเคียงจากการปลูกถ่ายวิญญาณงั้นเหรอ?”
นาโอยุกิถามขึ้นอย่างหงุดหงิด
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วทำไมถึงไม่เคยบอกเลยล่ะ”
“ก็ฉันเองก็ยังไม่ค่อยเข้าใจมันเลยเหมือนกันนี่ มีความเป็นไปได้ แต่ก็ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะเกิดขึ้น ก็เลยไม่ได้บอกไปไงล่ะ ไม่ได้เหรอ?”
“งั้นผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นน่ะมันมีอะไรบ้าง ช่วยบอกมาเท่าที่รู้ที”
นาโอยุกิมีท่าทีเหมือนจะประสาทกิน แต่ก็พยายามระงับไว้แล้วทำใจให้สงบลง
“นั่นสินะ ก็มี... ความผิดปกติของประสาท ความรุนแรงของนิสัย ความผิดปกติของร่างกาย แล้วก็ อืม...”
“อธิบายให้ละเอียดกว่านี้หน่อย ที่ว่าความผิดปกติของประสาทนี่หมายถึงเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นคราวนี้งั้นเหรอ?”
“นั่นสินะ ก็อย่างเช่น กลายเป็นพวกหัวรุนแรง กลายเป็นคนพูดมาก หรือกลายเป็นคนที่ชอบแกล้งคน อะไรประมาณนี้ ส่วนความผิดปกติของร่างกายก็เช่น พลังกายพื้นฐานเพิ่มขึ้น วิ่งได้เร็วมากขึ้น”
“พวกนักวิจัยที่อยู่ที่นี่ ทุกคนเป็นแบบนี้น่ะเหรอ?”
“เรื่องนิสัยกับร่างกายน่ะก็เห็นผลกันอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ แม้จะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละคนก็ตาม”
“เรื่องนั้นไม่เป็นไร ขอแค่มันไม่เป็นอุปสรรคต่อการวิจัยก็พอ ว่าแต่เรื่องความผิดปกติของประสาทล่ะ?”
“อืม... เพื่อที่จะตอบเรื่องนั้นก่อนอื่นมีสิ่งที่ฉันจะต้องเตรียมการเอาไว้ก่อนสักหน่อย”
“หมายความว่าไ-...”
“นี่ๆ แมวตัวนั้นน่ะหายไปไหน ตายไปแล้วเหรอ”
ยังไม่ทันที่นาโอยุกิจะพูดจบ เสียงชิโอริก็พูดแทรกขึ้น
“ว่าไงนะคะ!?”
หญิงสาวมีท่าทีตกใจ
“อ้าว ท่าทีตอบแบบนี้ แสดงว่ายังไม่ตายเหรอ หรือว่าจะหนีออกไปตอนช่วงที่กำลังวุ่นวาย?”
“มัวทำอะไรอยู่น่ะ รีบๆตามหาสิ!”
หญิงสาวมีท่าทีร้อนรน ระบายอารมณ์ใส่เอกสารที่กระจายอยู่ตรงหน้า แล้วมองไปยังคนรอบข้างด้วยสีหน้าเคร่งเครียด โมมิจิมองภาพนั้นอยู่อย่างไม่รู้สึกอะไรแล้วพูดขึ้น
“แหม แบบนี้ก็แย่เลยสินะ”
“จะดีเหรอ? ปล่อยไว้แบบนี้ การทดลองจะล้มเหลวเอาน่ะสิ”
ชิโอริถามขึ้นอย่างสงสัย
“แบบนั้นก็คงจะแย่อยู่ แต่ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปยึดติดกับมันมากก็ได้ ถ้าล้มเหลวเราก็แค่เริ่มทดลองใหม่จากตรงนั้นก็แค่นั้นเอง ชีวิตคนเราน่ะ เหมือนจะสั้นแต่ก็ยาวกว่าที่คิดนะ โดยเฉพาะ... สำหรับฉัน...”
พูดถึงตรงนี้เธอก็มีสีหน้าเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
“หืม... นี่ แล้วต้องการจะทำอะไรเหรอ? ที่ทำแบบนี้เพราะว่าอยากได้อะไรงั้นเหรอ?”
“นั่นสินะ... คงเรียกว่าเป็นการท้าทายต่อพระเจ้าอยู่ล่ะมั้ง”
“ท้าทายต่อพระเจ้า?”
“ใช่ รู้มั้ยล่ะ พระเจ้าน่ะชอบแกล้งคนล่ะ ชอบแกล้งคนมากจริงๆเลย เพราะอย่างนั้น ฉันถึงได้ยังมีชีวิตอยู่ล่ะมั้ง”
โมมิจิพูดแล้วยิ้มขึ้น ชิโอริมองด้วยสายตาประหลาดใจ
“หมายความว่าไงกันน่ะ”
“ความลับจ้ะ”
“ว่าแต่ว่า พระเจ้าน่ะมีอยู่จริงๆน่ะเหรอ? เป็นคนคอยกำหนดโชคชะตาน่ะเหรอ?”
“ไม่รู้สิ ฉันเองก็ยังไม่เคยเจอ ทำไมเหรอ?”
“ก็มันน่าเจอไม่ใช่หรือไง ถ้าหากว่ามีคนแบบนั้นอยู่จริงนะ”
“จะว่าไปแล้ว ทำไมเธอถึงได้มาสนใจช่วยล่ะ”
“มีเรื่องที่อยากทำมากๆอยู่อย่างนึงน่ะสิ เห็นอย่างนี้แต่ผมเองก็มีความปรารถนาอยู่อย่างนึงนะ”
“โห นาสนใจดีนะ ไหนช่วยบอกมาหน่อยได้มั้ย ความปรารถนาของเธอ”
“อืม... เรื่องนั้นเป็นความลับ”
“แหม... ขี้เหนียวจริงๆ ...อุ๊บ”
อยู่ดีๆโมมิจิก็ยกมือขึ้นมาปิดที่ปากตัวเอง
“น..นี่ เป็นอะไรไปน่ะ?”
“ค็อกๆ แค็ก.. ฮึ่ม... ฮ้า... อืม ไม่เป็นไร”
“ดูแล้วไม่เห็นจะไม่เป็นไรอย่างที่ว่าเลย”
“เป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นประจำนั่นล่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เธอพูดพร้อมกับหยดสีแดงที่ไหลรินไหลผ่านมือตกเปาะแปะลงมา
--------------------
ผมกลับมาบ้านพอทานข้าวเย็นเสร็จก็ขึ้นมายังห้องตัวเองแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง
“เจ็บจังเลย...”
แผลที่แขนซ้ายที่โดนกัดเมื่อตะกี้นี้ ไม่รู้ทำไมถึงได้เจ็บมากถึงขนาดนี้นะ ผมกลิ้งไปมาบนเตียง พลางนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้น
ตอนนั้นชายคนนั้นพุ่งเข้ามาชนผมจากนั้นก็กัดที่แขนซ้ายไม่ปล่อยเลยทีเดียว ขนาดผมพยายามต่อยใส่ตั้งไม่รู้กี่ทีจนมือขวาเป็นแผลเต็มไปหมด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมปล่อย สุดท้ายคุณหมอ ๒ คนที่ตามมาจึงต้องยิงปืนยาสลบใส่เพื่อให้ชายคนนั้นหยุดลง
ที่น่าแปลกคือชายคนนั้นอยู่ในชุดกาวน์ แถมที่โรงพยาบาลแห่งนี้ก็ไม่มีแผนกผู้ป่วยโรคจิตด้วยสิ คุณหมอบอกว่าชุดกาวน์นั่นคงถูกขโมยมาใส่ และชายคนนั้นก็เป็นคนไข้ที่เพิ่งถูกส่งเข้ามา กำลังจะย้ายไปยังโรงพยาบาลเฉพาะทางในวันพรุ่งนี้ แต่ก็มาเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน
นอกจากนี้ทั้งๆที่ดึกขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมจำนวนหมอที่อยู่กลับเยอะจังเลย ตอนเกิดเรื่องขึ้นนั้น เห็นหมอเดินไปมาเต็มไปหมด ถึงคุณหมอจะบอกว่าเพราะวันนี้มีประชุมพิเศษก็เถอะ...
“ยังไงก็เถอะ นอนดีกว่า”
ผมปิดไฟลงแล้วคลุมผ้าห่มหลับไป
--------------------
“โอ๊ย”
วันนี้พอตื่นขึ้นมาจะยืดตัวก็รู้สึกได้ถึงแผลที่แขนซ้ายขึ้นมา เลือดหยุดไหลแล้วแต่ผ้าพันแผลมัน... ดูเหมือนจะต้องเปลี่ยนสักหน่อยสินะ ว่าแต่วันนี้รู้สึกสดชื่นกว่าทุกทีแฮะ
...เอ๊ะ? จะว่าไปแล้ววันนี้ไม่ได้ฝันเลยแฮะ เพราะอย่างนั้นเลยสดชื่นกว่าทุกทีสินะ แปลกจริงๆ เพิ่งเคยรู้สึกอย่างนี้เป็นครั้งแรก
ระหว่างที่คิดไป ผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วก็ออกจากห้อง จากนั้นก็ทานข้าวแล้วไปโรงเรียน
--------------------
ณ ห้องใต้ดินที่ไร้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา มีเพียงแสงจากหลอดไฟส่องสว่างอยู่นั้น นาโอยุกิได้เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าหญิงสาวที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานอยู่อย่างเงียบๆคนเดียว
“เป็นยังไงบ้าง? หาแมวเจอหรือยังล่ะ?”
“ยังเลยค่ะ กำลังแยกย้ายกันออกไปตามหาอยู่”
“ว่าแต่เห็นได้ยินว่ามีคนของเราขอลาออกไป ๒-๓ คนงั้นเหรอ?”
“ค่ะ ดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
“ถ้าเกิดว่าคนที่ออกไปนั้นเกิดอาการคลุ้มคลั่งขึ้นมาตอนอยู่ข้างนอกก็คงจะแย่น่ะสิ”
“ก็มีความเป็นไปได้อยู่นะคะ”
“ยังไงก็รีบตามหาตัวพวกเขาดีกว่านะ แล้วก็จะถือโอกาสตามหาแมวไปด้วยก็ได้”
“รับทราบค่ะ”
--------------------
พักกลางวัน ผมคุยเล่นอยู่กับฮิซาชิและมาโดกะไปเรื่อยๆระหว่างรอคาบเรียนช่วงบ่าย
“ฟุชิมิคุง วันนี้ก็ต้องไปทำงานอีกสินะ”
มาโดกะถามขึ้น
“เราเองก็ทำงานพิเศษบ้างดีมั้ยนะ ตอนที่ไม่ต้องช่วยงานที่บ้านนี่ก็มีเวลาอยู่เหลือเฟือเลยอยู่ด้วยสิ”
ฮิซาชิแทรกขึ้นมา
“ช่วยงานที่บ้าน? ที่บ้านคาโมะคุงนี่ทำงานอะไรเหรอ?”
“กิจการต้องห้ามที่ไม่สามารถเปิดเผยได้”
“...ล้อเล่นสินะ”
“เรื่องโกหกอยู่แล้วน่ะ”
“ถ้างั้นจริงๆทำอะไรเหรอ?”
“เรื่องนั้นเป็นความลับ เพราะว่าความลับน่ะเป็นสมบัติล้ำค่าของลูกผู้ชายเลย”
“แล้วฟุชิมิคุงล่ะ รู้หรือเปล่า?”
มาโดกะหันมาถามผม
“ไม่ล่ะ เราเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“อืม... งั้นเหรอ”
“ยอมรับกันง่ายจัง ช่วยทำท่าอยากรู้อยากเห็นมากกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไงกันนะ”
ฮิซาชิพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเหมือนผิดหวัง
“แต่ถึงยังไงนายก็ไม่ยอมบอกอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“อื้อ ไม่บอกหรอก”
“เมื่อก่อนพยายามถามเท่าไหร่ก็ไม่ยอมตอบเลยด้วยสิ”
“ก็บอกแล้ว ว่าความลับน่ะเป็นสมบัติล้ำค่าของลูกผู้ชาย”
ฮิซาชิย้ำคำเดิม
“ถ้าอย่างนั้น ไม่ลองเข้าชมรมดูบ้างเหรอ?”
มาโดกะแทรกขึ้น
“เปลี่ยนเรื่องได้เร็วจังเลยนะ”
ฮิซาชิตอบด้วยเสียงเศร้าๆ แต่มาโดกะก็ยังคงพูดต่อไป
“หืม? อะไรนะ?”
“เปล่า ไม่มีอะไรจ้า”
“เหรอ? อ้อ ว่าแต่เรื่องชมรมน่ะคิดว่าไงล่ะ?”
“เราขอผ่านล่ะ แล้วมาโดกะจังล่ะ ไม่ได้เข้าเหรอ?”
“เราเองก็... ไม่มีชมรมที่อยากเข้าด้วยสิ”
“เหรอ แล้วโทวยะล่ะ?”
ฮิซาชิหันมาถามผม
“เราต้องทำงานพิเศษอยู่แล้วไง”
“ถ้าไม่ได้จริงจังอะไรมากก็ทำทั้งสองอย่างไปด้วยกันได้ไม่ใช่หรือไง?”
“เห็นเมื่อก่อนอยู่ชมรมยิงธนูนี่ ไม่เข้าแล้วเหรอ?”
มาโดกะแทรกขึ้น
“เอ๋? นี่นายเคยอยู่ชมรมยิงธนูด้วยเหรอ? ผิดคาดจริงๆเลยแฮะ”
“เมื่อก่อนก็เคยเข้าอยู่น่ะ”
ตอนนั้นเห็นว่าชมรมยิงธนูมันดูเป็นของแปลกใหม่ดีก็เลยลองเข้าดู จากนั้นก็เลยได้เข้าไปฝึกซ้อมตลอดจนจบการศึกษาเลย เราเองก็ไม่ได้รังเกียจบรรยากาศที่ดูเป็นพิธีรีตองอะไรของที่นั่นด้วยสิ
“แต่ที่โรงเรียนนี้มันไม่มีนี่สิ”
“งั้นเหรอ น่าเสียดายจัง เราเองก็ชอบด้วยสิ ภาพฟุชิมิคุงตอนกำลังยิงธนู”
“โห มีฝีมือถึงขนาดที่ทำให้มาโดกะจังหลงใหลได้เลยหรือนี่”
“อืม จะว่าไงดีล่ะ ท่าตอนยิงน่ะเท่มากเลยล่ะ”
“โห ฟังดูน่าสนใจดีนะ แล้วไม่ได้ฝึกแล้วเหรอ?”
“ก็บอกแล้วไงว่าที่นี่ไม่มี”
“แล้วทำไมตั้งแต่แรกไม่ย้ายไปโรงเรียนที่มันมีล่ะ?”
“ก็ที่อื่นมันไกลน่ะสิ แล้วก็ไม่ได้มีฝีมือมากถึงขนาดว่าจะทำให้อยากเล่นต่อด้วยสิ”
“งั้นเหรอ ทั้งๆที่ดูท่ายิงสวยออกขนาดนั้นแท้ๆ”
“ถ้าคนที่เก่งก็จะยิ่งสวยกว่านั่นล่ะ”
“นั่นสินะ อ้อ จะว่าไปแล้วมีเด็กเก่งๆคนนึงอยู่ปีเดียวกันด้วยสินะ คนที่ไปแข่งระดับประเทศด้วยนั่นไง”
“โห มีคนยอดเยี่ยมขนาดนั้นอยู่ด้วยเหรอ?”
ฮิซาชิถามขึ้นอย่างสนใจ
“อื้อ เป็นเด็กผู้หญิงด้วยนะ แถมยังน่ารักมากเลยด้วย เป็นไอดอลของทุกคนเลยล่ะ”
“งั้นเหรอ ชักอยากพบแล้วสิ มาโดกะจังยังมีติดต่อกับเธออยู่หรือเปล่าเหรอ?”
“เราน่ะไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่หรอก แต่ว่าฟุชิมิคุงน่ะสนิทกับเขามากไม่ใช่เหรอ?”
“จริงเหรอ!? ช่วยแนะนำให้ทีสิ!”
จู่ๆก็คิดอยากจะเจอขึ้นมาเลยหรือหมอนี่
“เอ่อ... ไม่ไหวหรอก พอเรียนจบไปก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”
“งั้นก็ลองติดต่อไปสักหน่อยดูสิ”
“ไม่รู้วิธีติดต่อหรอก ไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นด้วยสิ”
“โธ่ น่าเบื่อจัง”
ฮิซาชิทำท่าเสียดาย
“งั้นเหรอ? แต่มองดูแล้วเหมือนสนิทกันดีออกนะ”
“ก็อยู่ชมรมเดียวกันนี่นา แต่ก็แค่นั้นล่ะ”
“งั้นเหรอ ก็คงจะอย่างนั้นล่ะนะ”
“ว่าแต่ชมรมยิงธนูเหรอ ไม่เคยเห็นเลยเหมือนกัน อยากจะลองเห็นดูบ้างจัง”
“เราเองก็อยากดูเหมือนกันนะ ท่าฟุชิมิคุงตอนกำลังยิงธนู”
“ไว้ถ้ามีโอกาสละกันนะ”
ที่จริงก็ไม่ได้มีฝีมือขนาดจะโชว์อะไรได้ แถมยังห่างมานานแล้วด้วยสิ อาจจะได้โดนเห็นภาพที่น่าอับอายก็ได้ ยังไงก็กลบเกลื่อนไปก่อนดีกว่า
จากนั้นเราก็คุยกันต่อจนเสียงออดดังขึ้นก็แยกย้ายกันกลับที่เพื่อเรียนคาบบ่ายต่อ
--------------------
หลังเลิกเรียนผมก็เดินมาทำงานที่โรงพยาบาลยาซากะตามปกติ ตอนที่ไปถึงก็เจอคนสวมชุดกาวน์มากมายกำลังวุ่นวายรีบเร่งทำอะไรกันอยู่ แถมยังมีคนที่ผมคุ้นหน้ารวมอยู่ในนี้ด้วยสิ
ผมกำลังแปลกใจกับภาพที่เห็น ขณะเดียวกันเมื่อผมกำลังจะเดินเข้าไปโรงพยาบาล ประตูก็เปิดขึ้นพอดี
“อ้าว พี่ชาย”
“สวัสดี”
เด็กคนนี้รู้สึกว่าจะเป็น... ลูกบุญธรรมของยาซากะซังที่ผมเคยเจอเมื่อวันก่อนสินะ
“สวัสดี พี่ชายที่นึกว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง”
“ตอนนั้นโทษทีนะ เอ่... ชิโอริคุงสินะ?”
“ใช่แล้วล่ะ ว่าแต่พี่ชาย... เอ่... เคยบอกชื่อไปหรือยังนะ”
“ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยสินะ พี่ชื่อฟุชิมิ โทวยะ”
“อ้าว รู้จักกันเหรอ?”
เด็กสาวที่เดินตามมาข้างหลังถามขึ้น
“อ่อ เปล่าหรอก แค่เคยเจอกับพี่ชายคนนี้มาก่อนครั้งนึงน่ะ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันชื่อฮิมุไก โมมิจิ”
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฮิมุไกซัง”
“เรียกโมมิจิเฉยๆก็พอ ฉันก็จะขอเรียกเธอว่าโทวยะคุงนะ”
“อ่า ก็ได้หรอก”
“ว่าแต่ โทวยะคุงมาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
“อ่อ ก็ทำงาน... หวา ตายล่ะ จะสายแล้วนี่นา”
“อ่างั้นเหรอ โทษทีนะ... อ่อถามหน่อยสิ เจอแมวอยู่แถวนี้บ้างมั้ย แมวตัวดำๆ”
“แมวตัวนั้นน่ะเอาข้อมูลสำคัญหนีออกไปน่ะ”
ชิโอริแทรกขึ้น อ่อ อย่างนี้นี่เองสินะ ถึงได้วุ่นวายอย่างที่เห็น
“ไม่เห็นเลยเหมือนกัน”
“งั้นเหรอ ขอบคุณมาก พี่ชาย”
“งั้นไปก่อนล่ะ พยายามเข้านะ โทวยะคุง”
พูดจบทั้งสองคนก็เดินจากไป ผมเองก็รีบเข้าไปทำงานก่อนที่จะเข้าสาย
--------------------
หลังเลิกงาน ผมก็เดินกลับบ้าน
“เฮ้อ... เหนื่อยจังเลย”
พรุ่งนี้ไม่มีงานต้องทำด้วยสิ นานๆทีแวะไปเที่ยวไหนก่อนกลับบ้านดีมั้ยนะ ไม่เอาดีกว่ารีบกลับไปทานข้าวที่บ้านดีกว่า หิวแล้วด้วยสิ วันนี้ที่บ้านทำอะไรกินกันนา รีบกลับก่อนที่จะสายดีกว่า
ผมคิดอะไรไปเรื่อยๆระหว่างที่กำลังเดินอยู่ มองเห็นผู้คนที่ต่างก็กำลังเดินกลับบ้านสวนไปมา ในระหว่างนั้น-...
“เข้าใจแล้ว ไล่ตามไปแบบนั้นล่ะ”
ผมเดินสวนกับหญิงสาวคนหนึ่ง พอหันกลับไปมองก็...
“............คุณแม่?”
ไม่นานหญิงสาวก็หายเข้าไปท่ามกลางฝูงชน ไม่ผิดแน่ นั่นคือคุณแม่ที่น่าจะตายไปแล้วเมื่อ ๑๐ ปีก่อน ฟุชิมิ สึซึโนะ ไม่ผิดแน่ หญิงสาวผมยุ่งๆ สวมแว่นตา รูปร่างเรียวบาง นั่นเป็นภาพที่ผมไม่อาจลืมได้แน่นอน
พอรู้สึกตัวอีกที ผมก็เริ่มเดินไล่ตามไปออกไปแล้ว ทั้งที่รู้ว่าคุณแม่น่าจะตายไปแล้วในอุบัติเหตุครั้งนั้นแท้ๆ ดังนั้นนั่นจะต้องเป็นคนอื่นที่เหมือนกันมากๆแน่ๆ แต่เท้ากลับไม่ยอมหยุดเลย
“อย่างน้อย ขอแค่ยืนยันว่าเป็นคนละคนกันก็ยังดี...”
--------------------
ผมยังคงไล่ตามหาต่อไปเรื่อยๆจนผ่านเลยย่านที่คนพลุกพล่านออกมาแล้วก็ยังไม่เจอเลย แถวนี้ดูจะไม่มีทั้งร้านค้า และไฟถนนก็น้อยด้วย คงไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก
ระหว่างที่ผมกำลังหยุดยืนคิดอยู่นั้น ก็เห็นเงาคนกำลังเดินอยู่ ผมจึงเข้าไปหา ดูเหมือนฝ่ายโน้นเองก็จะมองเห็นผมแล้วเช่นกัน
“ฟุชิมิคุง? มาทำอะไรกันน่ะ? ในที่แบบนี้ แถมยังป่านนี้”
...ทำไมโนมิยะซังถึงมาอยู่ที่นี่
“แล้วโนมิยะซังล่ะ?”
“มาเดินเล่นน่ะ...”
“เหรอ...?”
“สายตาแบบนั้นหมายความว่าไง บอกไว้ก่อนนะว่าคราวนี้ไม่ได้หลงทาง แล้วฟุชิมิคุงล่ะ?”
“เอ่... จะว่ายังไงดีล่ะ...”
โดนถามแบบนี้ก็ตอบลำบากแฮะ จะบอกไปว่าไงดีล่ะ ถ้าจะบอกว่ามาตามหาแม่จะฟังดูแปลกๆหรือเปล่านะ ผมลังเลที่จะบอก แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้โนมิยะซังฟัง แรกๆเธอก็ทำท่าแปลกใจนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะเข้าใจ
“งั้นลองไปหาที่ลานกว้างข้างหน้าดูกันเถอะ”
“หมายความว่าโนมิยะซังก็จะไปช่วยตามหาด้วยเหรอ?”
“กลัวจะรบกวนเหรอ? ถ้างั้นก็ไม่เป็นไรนะ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น... แค่นึกว่าจะถูกหาว่าบ้าหรืออะไรซะอีกน่ะ”
“ไม่หรอกน่ะ เราคิดว่าเราเข้าใจความรู้สึกนี้ดีนะ ไม่ว่าใครก็ต้องมีของที่ไม่อาจจะทิ้งได้ลงใช่มั้ยล่ะ สำหรับฟุชิมิคุงแล้ว นั่นก็หมายถึงคุณแม่สินะ ดังนั้นแล้วเราไม่อาจจะหัวเราะได้หรอก”
“งั้นเหรอ...”
จะว่างั้นก็ใช่นะ โนมิยะซังเองก็คงจะมีของที่สำคัญเหมือนกัน ถึงได้กลับมาที่นี่สินะ
“...อย่าเงียบแบบนั้นสิ รู้ตัวหรอกน่ะ ว่าพูดเรื่องน่าอายออกไป”
“เปล่า ไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นสักหน่อย”
จากนั้นเธอก็หน้าแดงและหันหลังแล้วเดินออกไปทางลานกว้าง ผมเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
====================
รวมศัพท์ท้ายตอน
凶暴 きょうぼう ความรุนแรง,ความหยาบช้าร้ายกาจ
彷彿 ほうふつ ความคล้ายคลึงกันมาก,นึกขึ้นมาได้,ลางๆ
散らばる ちらばる ตกอยู่เกลื่อนกลาด
厳か おごそか อย่างเป็นพิธีรีตอง,อย่างเคร่งขรึม,ขึงขัง
繁華 はんか คนพลุกพล่าน,จอแจ,(ดอกไม้)บานสะพรั่ง
疎ら まばら ห่างกันเป็นหย่อม ๆ,หรอมแหรม
ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ