φυβλαςのβλογ
บล็อกของ phyblas



เที่ยวกำแพงเมืองจีนริมน้ำด่านจิ่วเหมินโข่ว กำแพง สายน้ำ ภูเขา และใบไม้เปลี่ยนสี
เขียนเมื่อ 2013/10/26 12:18
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42


#พฤหัส 24 ต.ค. 2013

ช่วงนี้ปักกิ่งและบริเวณรอบๆใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี มองไปทางไหนก็เริ่มสวยงามแล้ว อากาศก็กำลังเย็นสบาย ไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป เป็นฤดูที่เหมาะกับการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

วันก่อนได้มีโอกาสไปเที่ยวต่างจังหวัดมาอีกแล้ว โดยแผนเที่ยวคราวนี้คือไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนสองด่านในเที่ยวเดียว นั่นคือกำแพงเมืองจีนด่านจิ่วเหมินโข่ว (九门口长城) และกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวาน (山海关长城) ซึ่งทั้งสองแห่งนี้อยู่ใกล้กันแม้ว่าจะอยู่คนละมณฑลเลยก็ตาม

พูดถึงกำแพงเมืองจีนแล้วก็เคยไปมาแล้วหลายแห่งในปักกิ่ง แต่ว่าทั้งสองด่านนี้อยู่นอกปักกิ่ง สำหรับกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวานนั้นจะยกไปเล่าในตอนหน้า ตอนนี้จะพูดถึงกำแพงเมืองจีนด่านจิ่วเหมินโข่วก่อน



กำแพงเมืองจีนด่านจิ่วเหมินโข่วตั้งอยู่ในหมู่บ้านไถจื่อ (台子村) ตำบลหลี่เจีย (李家乡) อำเภอสุยจง (绥中县) เมืองหูหลุเต่า (葫芦岛市) มณฑลเหลียวหนิง (辽宁省) แต่ว่าตำแหน่งของที่นี่อยู่ติดกับเขตซานไห่กวาน (山海关区) เมืองฉินหวงเต่า (秦皇岛市) มณฑลเหอเป่ย์ (河北省) ดังนั้นการไปโดยปกติจึงไปโดยลงรถไฟที่สถานีรถไฟซานไห่กวาน (山海关火车站) แล้วต่อรถไป ระยะทางแค่เพียง ๑๕ กิโลเมตร

จุดเด่นของกำแพงด่านนี้ก็คือการที่อยู่ริมแม่น้ำ มีส่วนที่เป็นสะพานพาดข้ามแม่น้ำจิ่วเจียง (九江河) ซึ่งเป็นลำน้ำใสสวย จึงทำให้ทิวทัศน์ที่นี่ดูสวยงามอย่างที่กำแพงเมืองจีนด่านอื่นไม่อาจเห็นได้

ชื่อของด่านนี้คือจิ่วเหมินโข่ว จิ่วแปลว่าเก้า เหมินโข่วแปลว่าประตู จิ่วเหมินโข่วหมายถึงเก้าประตู ที่มาของชื่อนี้ก็มาจากการที่ใต้กำแพงส่วนที่เป็นสะพานพาดข้ามลำน้ำนั้นมีช่องเปิดเหมือนเป็นประตูอยู่เก้าช่อง

ด้านใต้กำแพงมีอุโมงค์ที่ถูกขุดเพื่อใช้เป็นฐานใต้ดินสมัยที่สร้างกำแพงเมืองจีนด่านนี้ขึ้น ตอนนี้ภายในเปิดให้เข้าชมได้ โดยยังเห็นสภาพห้องต่างๆที่ถูกใช้อาศัยตั้งแต่สมัยนั้น มีทั้งหมด ๒๙ ห้อง

ส่วนด้านหน้าทางเข้าอุโมงค์นั้นตอนนี้ถูกทำเป็นสวนชมนกหายาก (珍禽观光园) ซึ่งก็เป็นสวนเล็กๆที่มีนกอยู่เล็กน้อย และยังสร้างไม่เสร็จดี

ข้างๆกำแพงมีวัดปี้หยวิน (碧云寺) ซึ่งเป็นวัดโบราณที่มีมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว แต่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่เมื่อปี 2007

ในการเที่ยวที่นี่เวลาซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่จะรวมทั้งสี่ที่คือตัวกำแพงเมืองจีน, อุโมงค์ใต้ดิน สวนนก และวัดปี้หยวิน ราคาตั๋วในปัจจุบันตอนที่ไปก็คือ ๘๐ หยวน สำหรับช่วงฤดูคับคั่ง (เมษายนถึงตุลาคม) และ ๖๐ หยวนสำหรับช่วงฤดูซบเซา (พฤษจิกายนถึงมีนาคม) สำหรับนักเรียนสามารถซื้อบัตรครึ่งราคา แต่ก็จำกัดเฉพาะนักเรียนระดับปริญญาตรีลงมาเท่านั้น



เที่ยวนี้ไปเที่ยวกับเพื่อนด้วยกันสองคน นัดเจอกันหกโมงเช้าแล้วนั่งรถไฟฟ้าไปสถานีรถไฟปักกิ่ง (北京火车站) นี่เป็นครั้งแรกที่มาสถานีนี้ ปกติแล้วเวลานั่งรถไฟจะใช้สถานีตะวันตกหรือสถานีใต้บ่อยกว่า



แผนวันนี้คือเดินทางไปซานกวานโดยรถไฟรอบเวลา 7:37 ใช้เวลา ๒ ชั่วโมง ๕๒ นาที ไปถึงสถานีซานไห่กวานเวลา 10:29 น. แล้วขากลับนั้นกลับจากสถานีฉินหวงเต่าเวลา 20:06 ใช้เวลา ๒ ชั่วโฒง ๑๖ นาที กลับถึงสถานีปักกิ่งเวลา 22:22 โดยสถานีฉินหวงเต่าเป็นสถานีศูนย์กลางของเมืองฉินหวงเต่า ไม่เหมือนซานไห่กวานที่เป็นเขตสุดขอบเมือง ทั้งสองสถานีนี้อยู่ห่างกันไม่มาก เพราะถือว่าอยู่ในเมืองเดียวกัน



ตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะไปกลับจากสถานีฉินหวงเต่า แถมไม่อยากกลับดึกขนาดนี้ด้วย เดิมวางแผนไว้ว่าจะนั่งรอบ 18:35 จากซานไก่กวานเช่นเดิว ซึ่งจะกลับถึงปักกิ่งเวลา 21:14 แต่เพราะไปซื้อตั๋วช้า ทำให้ตั๋วขากลับที่วางแผนไว้ตอบนี้ขายหมดแล้ว เหลือแต่รอบ 19:48 ซึ่งมันช้ามาก ไม่รู้ว่าระหว่างนั้นจะแก่วทำอะไรอยู่ที่ซานไห่กวานตั้งนาน ก็เลยมีความคิดว่างั้นไปเดินเล่นย่านใจกลางเมืองฉินหวงเต่าดีกว่า แล้วซื้อตั๋วกลับจากสถานีฉินหวงเต่าแทน ซึ่งรถไฟที่ผ่านสถานีซานไห่กวานรอบ 19:48 นี้ก็เป็นขบวนเดียวกับที่จะผ่านสถานีฉินหวงเต่าตอน 20:06 ที่เราจะขึ้นนั่นเอง จะกลับจากสถานีไหนก็มีค่าเท่ากัน ดังนั้นขอไปลองขึ้นอีกสถานีดีกว่า การเดินทางไปก็ไม่ได้ลำบากมาก

ภายในสถานีปักกิ่ง ดูกว้างขวางดี แต่ไม่กว้างเท่าสถานีตะวันตกหรือสถานีใต้



ห้องรอรถ ตอนเช้าแบบนี้คนไม่ค่อยมากเท่าไหร่ เรามาก่อนเวลาพอสมควรก็ต้องนั่งรอสักพักก่อนขึ้นรถ



ได้เวลาขึ้นรถไฟ สถานีปักกิ่งเป็นต้นทางดังนั้นรถไฟจึงจอดรออยู่แล้ว สามารถขึ้นรถได้ตั้งแต่ก่อนออกหลายนาที



รถไฟที่จะขึ้นนี้เป็นรถไฟหัวจรวดแบบช้า ที่เดินทางจากปักกิ่งไปสุดที่สถานีเหนือต้าเหลียน (大连北站) เมืองต้าเหลียน (大连) มณฑลเหลียวหนิง โดยใช้เวลา ๖ ชั่วโมงจึงถึง



ระหว่างทาง ใบไม้กำลังเปลี่ยนสี สวยงาม ก็ได้รูปสวยๆหลายรูป เสียดายที่ถ่ายผ่านกระจกรถไฟ แถมรถก็วิ่งเร็วด้วย เลยได้ภาพไม่ค่อยชัดนัก


 

ระหว่างทางมีผ่านสถานีแรกคือสถานีถางซาน (唐山站) ซึ่งเป็นสถานีกลางของเมืองถางซาน (唐山市) หลังจากนั้นก็ผ่านสถานีหลวานเซี่ยน (滦县站) ซึ่งอยู่ในอำเภอหลวาน (滦县) จังหวัดถางซาน
 


จากนั้นก็มีจอดที่สถานีเป่ย์ไต้เหอ (北戴河站) ซึ่งอยู่ในเขตเป่ย์ไต้เหอ (北戴河区) เป็นเขตหนึ่งของเมืองฉินหวงเต่า จากนั้นก็จอดที่สถานีฉินหวงเต่า และสุดท้ายก็มาจอดที่สถานีซานไห่กวานซึ่งเป็นเป้าหมายของเรา ก่อนที่จะวิ่งต่อไปอีกเรื่อยๆจนถึงปลายทางที่ต้าเหลียน



สถานีซานไห่กวาน มีลักษณะคล้ายป้อมกำแพงเมืองจีนอย่างที่เห็น ขณะนั้นท้องฟ้าโปร่งและแดดแรงจ้า แต่ก็ไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นแต่อย่างใด อากาศยังคงเย็นมาก



เมื่อออกมาข้างนอกด้านหน้าสถานีก็หาคนขับรถรับจ้างเพื่อจะเหมารถไปเที่ยวที่ต่างๆในวันนี้  ตอนแรกเขาก็บอกว่าจะคิด ๒๐๐ หยวน หลังจากต่อราคากันสักพักก็ลงตัวที่ ๑๕๐ หยวน ยังมีความรู้สึกว่าแพงอยู่ดี แต่ทั้งสองคนต่างก็ต่อราคาไม่ได้เก่งนักก็เลยเอาตามนี้ก็ได้ ถ้าหารกันสองคนก็เหลือ ๗๕ ที่จริงเรามาหาข้อมูลภายหลังจึงรู้ว่ามันแพงไปจริงๆ ดังนั้นใครที่อยากไปตามรอยละก็ ขอให้ต่อให้ได้ถูกกว่านี้

อนึ่ง รถรับจ้างประเภทนี้เรียกว่ารถดำ (黑车) แม้ว่าจะไม่ได้มีสีดำก็ตาม เป็นคำที่ใช้สำหรับเรียกรถที่บริการคล้ายเป็นแท็กซีแต่ไม่ได้ลงทะเบียนอย่างเป็นทางการ ราคาจะไม่แน่นอน ไม่มีมิเตอร์ ต้องต่อรองเอาเอง และจะไว้ใจได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ เขาอาจจะพาเราไปที่ไหนที่ให้เสียตังแพงๆโดยไม่คุ้มราคาก็เป็นได้ (แล้วเขาก็จะได้ค่านายหน้า) ดังนั้นต้องระวังให้มาก แม้แต่คนจีนก็โดนหลอกกันเยอะ เราเป็นชาวต่างชาติยิ่งโดนง่าย แต่เพื่อนที่เคยไปแนะนำมาว่าเที่ยวที่นี่นั่งรถดำสะดวกดี ไปไหนมาไหนได้ง่ายก็เลยลองดู แม้จะเคยมีประสบการณ์ความทรงจำไม่ค่อยดีกับพวกนี้ก็ตาม

ซึ่งจะบอกว่าเที่ยวครั้งนี้ก็มีโดนพาไปสถานที่ที่ไม่มีอะไรมาด้วยเหมือนกัน ทั้งๆที่มีประสบการณ์เที่ยวจีนมาแล้วหลายที่เลยระวังตัวแล้วแท้ๆ แต่ก็ยังคงพลาดอีกจนได้ แต่เดี๋ยวจะเล่าถึงตอนหลังตรงช่วงที่พูดถึงซานไห่กวาน



ระหว่างทางก็มีชวนคนขับคุยอยู่เรื่อยๆ คนขับคนนี้ก็คุยดี ถามอะไรก็ตอบ แต่ตอบจริงแค่ไหนไม่รู้ แล้วเขาดูจะติดสำเนียงท้องถิ่นอยู่บ้างเลยฟังยากอยู่ ยังดีว่าที่นี่ไม่ไกลจากปักกิ่งมาก สำเนียงยังไม่เพี้ยนมากเกินไป ที่พยายามชวนคุยกับเขาเยอะๆก็เพราะอยากได้ข้อมูลมากที่สุด แล้วก็จะพยายามจับด้วยว่าเขาจะพูดอะไรน่าสงสัยหรือเปล่า เพราะจากประสบการณ์แล้วทำให้ไม่ค่อยไว้ใจพวกรถดำอยู่แล้ว

มีถามเขาด้วยว่าถ้าเพื่อนชาวต่างชาติจะมาเที่ยวแล้วพูดภาษาจีนไม่เป็นให้ทำยังไง เขาก็บอกว่าเขาสามารถช่วยจ้างคนที่พูดอังกฤษเป็นมาช่วยได้ แต่ก็จะจ่ายแพงขึ้นอีก ฟังดูแล้วยุ่งยากเกินความจำเป็น เพราะปกติก็เห็นหลายคนเที่ยวในจีนได้โดยไม่รู้ภาษาจีน เท่าที่เห็นเหมือนจะจดโพยกันมา ให้คนที่รู้ภาษาช่วยเขียนแผนการเที่ยวใส่แผ่นกระดาษแล้วยื่นให้คนขับดูแค่นั้นก็พอ เราบอกคนขับไปว่าแบบนั้นได้มั้ยเขาก็บอกว่าถ้าแบบนั้นก็ได้ เรายังถามด้วยว่าเขานับเลขเป็นมั้ย เขาก็บอกว่าถ้าแค่นั้นละก็ได้ ดังนั้นก็คงไม่เป็นอะไร ถ้าใครอยากมาเที่ยวแต่ภาษาจีนไม่ได้ก็ใช้วิธีนี้เอา แต่ยิ่งต้องระวังเรื่องถูกหลอก ขนาดคนพูดจีนเป็นยังถูกหลอกกันเยอะเลย

ระหว่างทางเจออาคารของบริษัท CP ของไทยด้วย ตอนแรกเห็นธงไทยก็สงสัยเหมือนกันว่ามาได้ไง ที่แท้ก็ CP นี่เอง ในภาษาจีนจะเรียก CP ว่าเจิ้งต้า (正大) ชื่อนี้มาจากชื่อเก่าของ CP ที่ในภาษาแต้จิ๋วอ่านว่าเจียไต่ (Chia Tai)



ระหว่างทางเจอกำแพงเมืองจีนด้วย แต่เป็นพวกด่านร้างๆซึ่งไม่ได้เปิดเป็นสถานที่เที่ยวอย่างเป็นทางการ จะไม่มีเส้นทางดีๆให้เดิน และก็ไม่มีอะไรเด่น ระหว่างทางเห็นซากกำแพงแบบนี้อยู่ประปรายตลอด



เส้นทางคดเคี้ยวตลอดจนกว่าจะไปถึง ระหว่างทางถ้ามองส่องเข้าไปตามแนวสันเขาบางส่วนจะเจอซากกำแพงเมืองจีน

ทิวทัศน์ระหว่างทางก็สวย นั่งถ่ายรูปตลอดทาง



 

แล้วก็มาถึง ใช้เวลาแค่ประมาณ ๒๕ นาที



ป้ายบอกรายละเอียดเกี่ยวกับบัตรเข้าชม จะเห็นว่าช่วงนี้ราคา ๘๐ ที่จริงก่อนมามีหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตมาว่าค่าเข้ามันคือ ๖๐ หยวน ตอนแรกเขาบอกว่า ๘๐ ก็เลยแปลกใจแล้วสงสัยว่าหลอกหรือเปล่า แต่พอมาดูป้ายจึงรู้ว่า ๘๐ จริง เขาบอกว่าราคามันเพิ่งจะปรับไม่นานมานี่เอง ไม่ใช่แค่ที่นี่แต่สถานที่เที่ยวอีกหลายแห่งในจีนก็ปรับราคา นั่นทำให้ข้อมูลบางส่วนในเว็บอาจไม่ตรง



เมื่อมาถึงลุงคนขับก็บริการไปซื้อตั๋วให้ถึงที่เลย แล้วก็บอกเราว่าไม่ต้องลงจากรถ เพราะตั๋วที่นี่รวมสถานที่สี่อย่าง หนึ่งในนั้นก็คือวัดปี้หยวินซึ่งอยู่ห่างจากทางเข้าบริเวณกำแพงไปประมาณ ๕๐๐ เมตร เขาบอกว่าให้ไปอันนี้ก่อน แล้วก็พาไปส่งที่หน้าวัด



วัดนี้เป็นวัดที่ถูกสร้างขึ้นใหม่จากวัดเดิมที่เคยมีอยู่ในอดีต เพิ่งถูกสร้างเมื่อปี 2007 นี่เองเลยดูใหม่ ไม่มีอะไรมาก



ใบไม้เปลี่ยนสีก็ประดับทำให้ตัววัดดูสวย





ภายในอาคารก็มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่



อาคารนี้ก็มีพระพุทธรูปให้ไหว้ แล้วก็มีพระอยู่ด้วย พระที่นี่ดูคุยเก่งดี ชวนคุยและถามว่าเราเป็นคนที่ไหนด้วย ด้านในมีธูปขายสำหรับไหว้พระ แต่ว่าห้ามซื้อเด็ดขาดเพราะว่าเขาจะขายแพงมากเป็นร้อยหยวน บางคนไม่รู้ไม่ได้ถามราคารีบจุดไหว้ไปแล้วเขาก็บังคับจ่าย แย่เลย โชคดีเป็นคนไม่นับถือศาสนาอยู่แล้ว ไปเที่ยววัดไหนก็ไม่เคยคิดจะไหว้ เรื่องหลอกขายธูปนี่ฟังเอาจากคนขับรถอีกที เขาเล่าให้ฟังหลังกลับจากวัด เราคิดในใจว่าทำไมไม่พูดก่อนเข้าไปล่ะ ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีผลอะไรแล้วถึงได้พูดล่ะสิ



เสร็จแล้วก็กลับมาที่หน้าประตูทางเข้าตัวกำแพงเมืองจีน



ก่อนจะเข้าไปเราลองเดินสำรวจรอบๆก่อน ก็เห็นว่าแค่จากด้านนอกก็สามารถเห็นตัวกำแพงซึ่งอยู่ริมน้ำได้แล้ว แค่อาจไกลไปสักหน่อย แต่ถ้าใครพอใจที่จะเห็นแค่นี้แล้วกลับก็จะประหยัดค่าเข้าชม ๘๐ หยวน ทันที แต่มาถึงนี่แล้วคงไม่มีใครทำงั้น



เข้ามาข้างในแล้วก็เห็นตัวกำแพงอยู่ด้านหน้าเดินอีกนิดเดียวก็ถึง



เห็นแล้ว กำแพงริมน้ำ สวย แค่นี้ก็รู้สึกดีมากแล้ว





หลังจากชมกำแพงขาดด้านข้างแล้ว ก่อนที่จะขึ้นไปปีนก็ขอแวะสถานที่เที่ยวอีกสองที่ที่เหลือก่อนก็คือสวนนกและอุโมงค์ใต้ดิน ซึ่งอยู่ทางเดียวกัน ต้องผ่านทางนี้



ระหว่างทางเดินก็เห็นที่ตั้งแผงขายของ แต่กลับแทบไม่มีคนขายเลย คงเพราะช่วงนี้คนน้อยคนเลยมาขายกันน้อยด้วย



คุณยายคนนี้ขายแอปเปิลตะกร้าละ ๕ หยวน ตอนแรกได้ยินก็ตกใจ แต่ฟังใหม่แล้วมั่นใจว่าไม่ผิดแน่นอน แต่ก็ไม่เห็นใครซื้อเลย ไม่ว่าจะเดินผ่านไปกี่คน คงเพราะมันถูกจนน่าสงสัย และอีกอย่างคือคนเขามาเที่ยวกัน จะให้แบกแอปเปิลเต็มตะกร้าแบบนี้เที่ยวคงไม่ไหว ตอนที่เล็งกล้องไปถ่ายยายเขาก็พูดล้อเล่นว่าจะถ่ายรูปยายต้องจ่ายค่าถ่ายด้วย



ตรงนี้มีต้นแอปเปิลด้วย แต่ลูกเล็กจัง



เดินผ่านตรงนี้สวยมาก



ผ่านตรงนี้ไปก็ถึงสวนนกแล้ว



ภายในก็มีนกอยู่ แต่ก็ไม่ได้เยอะนัก แล้วก็ไม่ได้มีข้อมูลบอกว่านกอะไรด้วย อีกอย่างระหว่างเดินในนี้เรากลับเพลิดเพลินกับการชมใบไม้เปลี่ยนสีมากกว่า
 



นกตัวนี้ดูแล้วน่าสงสาร



ดูแล้วเหมือนจะมีอยู่แค่นี้ ตรงหน้านี้ก็เป็นทางเข้าอุโมงค์ใต้ดินแล้ว



เห็นส่วนที่ยังสร้างไม่เสร็จด้วย สวนนกนี้น่าจะเพิ่งเปิดไม่นาน เพิ่งกำลังสร้างและขยายขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้ยังทั้งเล็กและนกไม่มาก



ได้เวลาลุยอุโมงค์ใต้ดิน



ภายในก็ไม่ได้มืดสนิท มีแสงไฟเปิดตลอดทาง



มีห้องต่างๆมากมายที่เขาสร้างไว้ใช้ตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนใหญ่เข้าไม่ได้เพราะปิดกรงไว้ อันนี้เป็นห้องน้ำ



บ่อน้ำ มีคนโยนเหรียญลงไปด้วย




มีพระพุทธรูปด้วย



หลายห้องมีจัดแสดงรูปปั้นที่แสดงเหตุการณ์ต่างๆในสมัยก่อนเอาไว้



อันนี้เป็นห้องเก็บเสบียง เขาต้องปีนขึ้นไปเก็บด้านบน



พอเสร็จจากอุโมงค์ใต้ดินก็ได้เวลามาปีนกำแพงแล้ว ต้องเดินเลียบริมน้ำมาทางนี้



มีเรือให้นั่ง แต่ก็ไม่เห็นมีใครนั่งเลยแม้แต่คนเดียว ฤดูนี้คนน้อยด้วยแหละ



ลอดใต้กำแพงมามองจากมุมนี้เห็นดอกไม้และกำแพงส่วนที่เป็นสะพานสวยงาม



พอขึ้นมาตรงนี้มีคนยื่นเชือกสีแดงให้ เห็นบอกว่าเอาไว้ผูกกบยักษ์ที่อยู่ในศาลานี้ แต่ก็มีคนไม่น้อยที่เอาไปผูกตามทางบนกำแพงส่วนที่เดินไปถึง



เดินเข้าประตูตรงนี้ก็จะขึ้นไปบนกำแพงแล้ว



พอขึ้นมา ทางจะแยกไปได้สองทางคือข้ามน้ำไปหรือว่าจะขึ้นเขาไป



เราเลือกที่จะเดินไปทางขึ้นเขาก่อนเพื่อจะได้ไปถ่ายภาพสวยๆจากมุมสูง



พอขึ้นมาแล้วก็เห็นทิวทัศน์สวยตามที่คาดจริงๆ



ยิ่งเดินขึ้นมาก็ได้เห็นภาพจากมุมมองที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ





ทางเดินก็ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ ระหว่างทางเห็นเชือกสีแดงที่คนผูกไว้ด้วย



ภายในป้อมระหว่างทาง ช่างดูใหม่ เพราะป้อมตรงต้นๆทางนี่ได้รับการซ่อมแซมบูรณามาแล้วอย่างดี



ด้านบนป้อมนี่ก็เป็นจุดชมทิวทัศน์ที่ดี



กำแพงตรงป้อมนี้มีคนมาขีดเขียนเต็ม มีภาษาพม่าด้วย แต่ไม่มีภาษาไทย ดีแล้ว การมีเขียนอยู่น่ะไม่ดีหรอก มีแต่จะเสียชื่อประเทศซะมากกว่า เวลาไปเที่ยวไหนไม่ควรจะไปขีดอะไรเล่น โดยเฉพาะโบราณสถานแบบนี้



แล้วก็ไปป้อมต่อไปเรื่อยๆ




จากตรงนี้เริ่มไกลจนมองไม่เห็นกำแพงส่วนที่ข้ามแม่น้ำแล้ว



แต่มองไปข้างๆก็เห็นภาพสวยๆในมุมอื่นแทน



จากตรงนี้เริ่มเห็นว่าป้อมดูเก่าๆ ผิดกับป้อมแรกๆ นั่นเพราะป้อมต้นๆนั่นถูกซ่อมบำรุงอย่างดี แต่ต่อจากตรงนี้ไปจะเริ่มเป็นสภาพแบบเก่าแล้ว



หนทางข้างหน้า เริ่มจะเป็นกำแพงแบบเก่าๆ




บางส่วนขอบกำแพงพังไปแล้ว สองข้างเปิดโล่ง ถ้าก้าวไม่ระวังก็ตกลงไปได้เลย



ทิวทัศน์ข้างทางมองลงไปมันช่างสุดยอด




จากตรงนี้ไปจะเห็นว่าทางเริ่มโหดมากแล้ว กำแพงแบบผุพัง เศษอิฐหลุดเป็นก้อนๆ พื้นไม่มั่นคง มาถึงจุดนี้เพื่อนที่มาด้วยกันก็บอกว่าขอถอนตัว ไปต่อไม่ไหวแล้ว ก็เลยเดินต่อคนเดียว



มองดูแล้วเห็นด้ายแดงที่มีคนมาผูกไว้ด้วย เท่าที่เห็นก็มีคนเดินสวนมาเล็กน้อย แต่จำนวนคนเทียบกับตอนต้นๆแล้วถือว่าน้อยมาก



ทางข้างหน้ากลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว อันตรายทีเดียว แต่เราก็ยังจะไปต่อ ไหนๆก็มาถึงแล้ว ดูแล้วปลายทางก็อีกไม่ไกล ยังไงก็ต้องไปให้ถึงให้ได้



จากตรงนี้มองขึ้นไปเห็นอักษรสีแดงคำว่าจิ่วเหมินโข่วชื่อของที่นี่ โดยเขียนเป็นอักษรตัวเต็ม



ป้อมเกือบสุดท้ายแล้ว



สุดทางอยู่เบื้องหน้า ใกล้ถึงเต็มที่แล้ว



มองทิวทัศน์ข้างทางไปพลาง



นี่คือด่านลำบากสุดท้ายที่ต้องฝ่าฟัน ตรงนี้ตอนปีนต้องใช้มือช่วยไม่งั้นจะเสียวมาก



และแล้วก็สุดทางแล้ว เหมือนว่าทางเดินบนกำแพงหายเข้าไปในภูเขา มองไปข้างหน้าไม่มีอะไรแล้ว ข้างหน้าไม่มีทางไปต่อดังนั้นก็สิ้นสุดที่นี่ เท่ากับเราพิชิตกำแพงเมืองจีนด่านนี้เรียบร้อย



ภาพสุดท้ายจากจุดสูงสุด



เสร็จแล้วสุดท้ายเราก็กลับลงมาเจอกับเพื่อนที่รออยู่กลางทาง แล้วก็เดินกลับไปเรื่อยๆจนถึงต้นทาง แล้วก็ข้ามไปเดินอีกทาง คือฝั่งที่เป็นสะพานข้ามน้ำ

ตอนนี้อยู่บนสะพานข้ามน้ำแล้ว



น้ำสวยใสมาก




ข้ามฝั่งมาแล้วมองกลับไปถ่ายส่วนที่จากมา ภาพสวยแต่เสียดายที่ย้อนแสงก็เลยไม่อาจสวยได้มากเท่าที่ควร
 



กำแพงฝั่งนี้เป็นแบบที่เห็น



ทางตัน ไม่สามารถเดินต่อได้แล้ว เพราะกำแพงฝั่งนี้เขาไม่ให้เดิน ดังนั้นการเที่ยวที่นี่ของเราจึงจบลงเพียงเท่านี้



เสร็จแล้วก็เดินออกไปขึ้นรถ ขณะนั้นเวลาเกือบจะบ่ายสองโมงแล้ว เราใช้เวลาเที่ยวรวมทั้งหมดไปสองชั่วโมงกว่า แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่าจริงๆ ได้เห็นทิวทัศน์กำแพงเมืองจีนในฤดูใบไม้ร่วงอันสวยงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

กำแพงเมืองจีนด่านนี้กลายเป็นด่านที่รู้สึกประทับใจที่สุดในการเที่ยวไปแล้ว แม้ว่าจะต้องเดินทางมาไกล แม้ว่าจะค่าเข้าชมแพง แต่ก็รู้สึกไม่เสียดายที่มา

ประทับใจที่ได้เห็นกำแพงพร้อมสายน้ำสวย และก็ได้มาช่วงที่อากาศกำลังดี ใบไม้ก็กำลังเปลี่ยนสีจึงยิ่งเพิ่มความสวยงาม และยังประทับใจที่สามารถเดินไปได้จนสุดแม้ว่าหนทางจะลำบากก็ตาม

หลังจากที่เสร็จจากตรงนี้ก็ได้เวลาไปเที่ยวเป้าหมายต่อไป คือกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวานที่อยู่ริมทะเล ติดตามอ่านกันต่อได้ ตอนต่อไปจะเขียนถึงด้วยว่าโดนรถดำพาไปไหนบ้าง https://phyblas.hinaboshi.com/20131029



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> เหลียวหนิง
-- ท่องเที่ยว >> ภูเขา
-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> เหอเป่ย์

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

สารบัญ

รวมคำแปลวลีเด็ดจากญี่ปุ่น
มอดูลต่างๆ
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
การเรียนรู้ของเครื่อง
-- โครงข่าย
     ประสาทเทียม
ภาษา javascript
ภาษา mongol
ภาษาศาสตร์
maya
ความน่าจะเป็น
บันทึกในญี่ปุ่น
บันทึกในจีน
-- บันทึกในปักกิ่ง
-- บันทึกในฮ่องกง
-- บันทึกในมาเก๊า
บันทึกในไต้หวัน
บันทึกในยุโรปเหนือ
บันทึกในประเทศอื่นๆ
qiita
บทความอื่นๆ

บทความแบ่งตามหมวด



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  ค้นหาบทความ

  บทความแนะนำ

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

บทความแต่ละเดือน

2024年

1月 2月 3月 4月
5月 6月 7月 8月
9月 10月 11月 12月

2023年

1月 2月 3月 4月
5月 6月 7月 8月
9月 10月 11月 12月

2022年

1月 2月 3月 4月
5月 6月 7月 8月
9月 10月 11月 12月

2021年

1月 2月 3月 4月
5月 6月 7月 8月
9月 10月 11月 12月

2020年

1月 2月 3月 4月
5月 6月 7月 8月
9月 10月 11月 12月

ค้นบทความเก่ากว่านั้น

ไทย

日本語

中文