φυβλαςのβλογ
บล็อกของ phyblas



นั่งเรือออกทะเลไปชมกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวาน หัวมังกรเฒ่า ด่านแรกแห่งใต้หล้า
เขียนเมื่อ 2013/10/29 12:18
แก้ไขล่าสุด 2021/09/28 16:42


#พฤหัส 24 ตุลาคม 2013

ต่อจากที่ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่านจิ่วเหมินโข่วมาแล้ว https://phyblas.hinaboshi.com/20131026

เราก็กลับไปขึ้นรถดำเพื่อจะไปเที่ยวยังที่ต่อไป



เป้าหมายของวันนี้คือเที่ยวกำแพงเมืองจีนสองด่านคือจิ่วเหมินโข่วกับซานไห่กวาน ตอนนี้เที่ยวจิ่วเหมินโข่วไปแล้ว คราวนี้จะพูดถึงซานไห่กวาน

กำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวานเป็นเดียงด่านเดียวที่อยู่ติดทะเล เรียกได้ว่าเป็นสุดทางของกำแพงเมืองจีนที่ลากยาวผ่านปักกิ่งและยาวต่อไปเรื่อยๆนับพันกิโลเมตรจนไปสิ้นสุดที่มณฑลกานซู่

คำว่าซานแปลว่าภูเขา ไห่แปลว่าทะเล และกวานแปลว่าด่าน ดังนั้นด่านนี้จึงแปลว่าด่านภูเขาและทะเลนั่นเอง เนื่องจากแถวนี้เป็นบริเวณที่ติดทะเล และถัดไปอีกนิดก็เป็นภูเขาแล้ว

เนื่องจากเป็นด่านสุดท้ายและยังติดทะเลด้วย ตรงนี้จึงเป็นเมืองหน้าด่านที่สำคัญ พูดถึงประวัติศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีนด่านนี้ก็คือช่วงรอยต่อระหว่างสมัยราชวงศ์หมิง (明朝) และราชวงศ์ชิง (清朝)

ซึ่งตอนนั้นราชวงศ์หมิงที่ปกครองบ้านเมืองอยู่นั้นอ่อนแอ เกิดการปฏิวัติมากมายขึ้น ในที่สุดราชวงศ์หมิงก็ล่มสลายลงด้วยกบฏชาวนาซึ่งนำโดยหลี่จื้อเฉิง (李自成) แต่ตอนนั้นหลี่จื้อเฉิงยังไม่สามารถรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นใหม่ได้เพราะบรรดาแม่ทัพหัวเมืองต่างๆยังไม่ได้เข้าเป็นพวกด้วยทั้งหมด ประเทศยังแตกเป็นเสี่ยงๆอยู่

ช่วงนั้นทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีนเองก็กำลังต้องรับศึกหนักกับพวกชนเผ่าแมนจูซึ่งบุกเข้ามาผ่านทางด่านซานไห่กวาน ผู้ดูแลกำแพงด่านนี้ในขณะนั้นคืออู๋ซานกุ้ย (吴三桂) ซึ่งมีกองทัพที่แข็งแกร่ง ไม่ว่ายังไงกองทัพแมนจูก็ไม่มีทางบุกผ่านด่านเข้ามาได้

ทางด้านหลี่จื้อเฉิงขณะนั้นแม้จะโค่นราชวงศ์หมิงและตั้งตัวเป็นใหญ่ที่ปักกิ่งได้แต่กองทหารก็อ่อนแอเต็มที ตอนนั้นเขาก็คิดว่าถ้าได้อู๋ซานกุ้ยเป็นพวกก็จะทำให้เพิ่มความแข็งแกร่งขึ้นได้ เขาจึงพยายามชวนอู๋ซานกุ้ยเป็นพวก แต่เหตุการกลับตาลปัตรเนื่องจากมีเหตุผลบางอย่าง (ซึ่งแต่ละแหล่งก็อธิบายไม่ตรงกันว่าทำไม) ทำให้อู๋ซานกุ้ยไปเข้ากับฝ่ายแมนจู โดยเปิดประตูให้แมนจูเข้าแล้วร่วมกันตีทัพของหลี่จื้อเฉิงแตก ทำให้ทัพแมนจูเข้ายึดปักกิ่ง และในที่สุดก็สามารถยึดจีนได้ทั้งประเทศและราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูก็ได้ปกครองแผ่นดินจีนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอีกนานเกือบสามร้อยปี

ดังนั้นจึงจะเห็นว่าด่านซานไห่กวานจึงมีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์ มันเป็นจุดพลิกประวัติศาสตร์จีนแบบหน้ามือเป็นหลังมือเลย

แต่ว่าด่านซานไห่กวานจริงๆได้ถูกพังไปแล้วตั้งแต่ปี 1900 เนื่องจากสงคราม ที่เห็นอยู่นี้คือที่สร้างใหม่เมื่อปี 1984 ไม่ใช่ของเก่าดั้งเดิม



เล่าถึงรายละเอียดสถานที่ที่จะไปรวมทั้งประวัติศาสตร์เสร็จแล้วก็กลับมาพูดถึงบันทึกการเดินทางกันต่อ

อย่างที่บอกไปเมื่อตอนที่แล้วว่าครั้งนี้เราใช้บริการรถดำ ซึ่งเป็นรถที่ไว้ใจไม่ค่อยได้อยู่แล้ว เวลาจะใช้ต้องระมัดระวังอย่างมาก ถ้าพลาดก็จะทำให้จ่ายเยอะกว่าที่ควรจะเป็น และแผนก็จะเสียด้วย

ก่อนอื่นต้องเท้าความก่อนว่าตอนแรกวางแผนเที่ยวไว้ว่า เริ่มจากมาถึงไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนด่านจิ่วเหมินโข่ว เสร็จแล้วก็ไปวัดเมิ่งเจียงหนวี่ (孟姜女庙) ซึ่งตั้งอยู่นอกเมือง ห่างจากสถานีรถไฟไป ๖ กิโลเมตร สามารถแวะไประหว่างทางกลับจากจิ่วเหมินโข่วกลับเข้าเมืองได้ เสร็จแล้วก็ให้คนขับรถไปส่งที่ย่านโบราณซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ เสร็จแล้วเราก็นั่งรถเมล์ไปกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวานต่อเองได้ ซึ่งเส้นทางก็ศึกษาเอาไว้แล้ว จากนั้นกะจะเล่นอยู่ริมทะเลเป็นอันดับสุดท้ายก่อนจะนั่งรถไปยังสถานีฉินหวงเต่าซึ่งต้องใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า

อนึ่ง เมิ่งเจียงหนวี่ (孟姜女) เป็นตำนานชื่อดังอย่างหนึ่งของจีน ที่มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยก่อนมีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อเมิ่งเจียงหนวี่ สามีถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงเมืองจีน เธอตามไปหาสามีที่กำแพงเมืองจีนแต่ก็พบว่าสามีตายไปแล้วและศพก็ถูกฝังอยู่ใต้กำแพง พอรู้ดังนี้ก็ร้องไห้อยู่นานจนตาย ตำนานเรื่องเล่าจากแต่ละที่ก็เล่าต่างๆกันไป ไม่แน่นอน แต่คร่าวๆก็ประมาณนี้

วัดเมิ่งเจียงหนวี่นี่ตามข้อมูลก็บอกว่าเป็นวัดที่สร้างเป็นที่ระลึกถึงตำนานเมิ่งเจียงหนวี่นั่นเอง โดยส่วนตัวแล้วไม่ได้สนใจตำนานมากขนาดนั้น สนแต่เรื่องประวัติศาสตร์มากกว่า แต่พอรู้ว่ามีตรงนี้อยู่ก็คิดอยากลองแวะไปเผื่อเล่าให้ใครฟังเหมือนกัน



แต่แล้วมันก็กลับกลายเป็นหนังคนละม้วนเมื่อเจอคำแนะนำของรถดำ เขากลับบอกว่าสถานที่เกี่ยวกับเมิ่งเจียงหนวี่เนี่ยมันมีอยู่สองที่ นอกจากวัดที่เรารู้จักแล้วยังมีสถานที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้

แล้วก็บอกว่าถ้าจะไปดูที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้ละก็ ค่าเข้าแค่ ๓๐ หยวนเท่านั้นเอง เพราะเราเป็นนักเรียนใช้บัตรนักเรียนลดได้ แต่ถ้าเป็นที่วัดละก็ ๕๐ หยวน บัตรนักเรียนลดไม่ได้ ซึ่งนั่นก็ต่างจากข้อมูลที่หามาอีก เพราะในอินเทอร์เน็ตบอกว่าค่าเข้าแค่ ๓๐ หยวน แต่ก็เข้าใจว่ามันอาจเพิ่งปรับราคาขึ้นเช่นเดียวกัน

ลองปรึกษากับเพื่อนดูแล้วก็ลองคิดดูว่า ไปวัดมันก็ไม่ได้มีอะไร เคยหาข้อมูลมาก่อนแล้ว ก็แค่วัดเล็กๆ แล้ววัดที่ไหนก็คล้ายๆกันด้วย แค่มีตำนานหน่อยก็ทำให้ค่าเข้าเพิ่มเป็นสูงถึง ๕๐ หยวนเนี่ย มันก็ดูจะไม่คุ้ม สุดท้ายจึงคิดว่าไปดูตรงที่เขาบอกว่าเมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้ละกัน จริงหรือหลอกก็ไม่รู้ แต่ก็อยากรู้อยากเห็นว่ามันจะมีอะไร



นอกจากนี้เรื่องกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวานส่วนที่ติดทะเลนั้นเขาก็บอกว่าค่าเข้ามัน ๑๓๕ หยวน แพงมาก ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตบอกว่าราคาแค่ ๖๐ หยวนเท่านั้นเอง ถ้าแค่นั้นก็ไหว แต่ถ้า ๑๓๕ ก็คงแพงเกิน

แต่เขาบอกว่าสามารถไปนั่งเรือชมหัวกำแพงจากทะเลได้ ราคา ๕๐ หยวน แบบนี้ก็สามารถเห็นทิวทัศน์ได้ชัดเจนเช่นกัน

ถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าเขาพูดจริงหรือเปล่า เพราะราคามันดูแพงไม่สมเหตุสมผล เคยอ่านที่คนเขียนเล่าเรื่องมามันก็ไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น ถ้า ๑๓๕ จริงยังไงก็ไม่คุ้ม

ตรงนี้คงต้องฝากใครที่ไปเที่ยวที่นี่มาหลังจากช่วงนี้ช่วยดูด้วย ว่ามันเพิ่งขึ้นเป็น ๑๓๕ จริงอย่างที่เขาว่าหรือเปล่า เพราะในเว็บมันยังคงเป็น ๖๐ และค้นข้อมูลดูคนที่เคยไปมาก็มีคนเขียนว่า ๖๐

แน่นอนว่านั่งเรือออกไปเพื่อแค่ชมหัวกำแพงเมืองจีนด้วยราคาตั้ง ๕๐ ก็ไม่น่าจะคุ้มเท่าไหร่อยู่ดี มันแพงเกินไปสำหรับการนั่งเรือแค่แป๊บเดียว แต่พอลองคิดว่ามาแล้ว ตั้งแต่มาปักกิ่งยังไม่ได้เห็นทะเลเลยสักครั้ง นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นทะเล ออกเรือไปกลางน้ำบ้างสักหน่อยก็ไม่เลว

สรุปแล้วสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าแผนต่อจากจิ่วเหมินโข่วก็จะไปดูที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้ จากนั้นก็ไปนั่งเรือออกทะเลชมหัวกำแพงเมืองจีน เสร็จแล้วก็ค่อยไปย่านเมืองโบราณเป็นลำดับสุดท้าย เขาเป็นคนไปส่งตลอดทาง แผนที่วางไว้แต่แรกก็พับเก็บไปเลย



เรานั่งอยู่บนรถเส้นทางกลับเข้าเมือง สักพักก็เริ่มกลับเข้ามาในตัวเมือง




ตรงนี้ก็เริ่มสงสัยแล้วว่าที่ว่าจะไปวัดเมิ่งเจียงหนวี่นี่มันน่าจะอยู่นอกเมือง แล้วตรงที่เขาจะพาไปนี่นึกว่าจะอยู่ไม่ไกลจากกัน ปรากฏว่ารู้ตัวอีกทีก็มาถึงทะเลซะแล้ว เรางงนิดๆก่อนที่เขาจะบอกว่ามาเที่ยวกำแพงก่อนแล้วค่อยไปดูที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้ สรุปแล้วคือไอ้ตรงนั้นมันอยู่ในเมืองนี่เอง เขาเลยพามาตรงนี้ก่อน



ป้ายบอกราคาคนละ ๕๐ ตามที่เขาบอก พอมาถึงคนขับรถเขาก็เป็นคนไปคุยกับคนขับเรือ แถมบริการหยิบเสื้อชูชีพมาใส่ให้เราเองด้วย เห็นแล้วชวนให้คิดว่าเขาคงได้ค่านายหน้าจากที่นี่ด้วย



ทะเลที่นี่คงจะเอาไปเทียบกับที่ไทยไม่ได้ แถมหนาวมากด้วยยังไงก็ลงเล่นน้ำไม่ได้เลย คนก็โล่งๆ

นี่คือเรือที่จะนั่ง ดูแล้วน้ำก็ใสดีนะ



เนื่องจากไม่มีคนจะนั่งด้วยเลยก็เลยต้องรอนานกว่าเขาจะยอมออกเรือ เขาคงขี้เกียจออกเรือเพื่อพาผู้โดยสารแค่ ๒ คน เพราะเรือจุได้ตั้ง ๘ คน

ระหว่างรอคนขับรถก็ยังยืนอยู่ด้วย ก็คุยๆถามๆเขาว่าปกติคนน้อยแบบนี้หรือ เขาก็บอกว่าฤดูร้อนคนจะเยอะมากจนต้องต่อคิวเลย แต่ตอนนี้หนาวแล้วไม่มีคนแล้ว และอีกไม่นานน้ำทะเลตรงชายหาดก็จะเริ่มเป็นน้ำแข็ง ก็ไม่สามารถออกเรือได้แล้ว พวกคนขับเรือเขาก็จะไปหางานอย่างอื่นทำกันแทน

เรารอจนมีคนมาอีกคนรวมเราแล้วเป็น ๓ คน เขาจึงออกเรือ

ก็เป็นเรือหางยาวอย่างที่เห็น



เรือเร็วมาก เล่นเอาเสียวสุดๆ แถมลมพัดใส่เต็มหนาวสั่นเลย เรากับเพื่อนถึงกับต้องบอกให้เขาเพลาๆความเร็วลงบ้าง แต่อีกคนที่นั่งมาด้วยนี่เขาดูจะชอบแบบนี้

มาถึงป้อมแล้ว นี่ล่ะคือที่เรียกว่าหัวมังกรเฒ่า (老龙头, เหล่าหลงโถว) เป็นจุดเริ่มต้นของกำแพงเมืองจีนที่จะลากยาวต่อไปอีกยาวนับพันกิโลเมตร แต่เขาไม่ยอมเข้าไปใกล้ๆ เลยได้แต่ถ่ายไกลๆอย่างนี้ แล้วเราก็ลืมถามเขาว่าเข้าไปใกล้กว่านี้ได้มั้ย ก็เลยได้แต่ภาพไกลๆแบบนี้



แต่ก็ใช้กล้องขยายเข้าไปได้



ขยายตรงตัวป้อมเข้าไปให้ถึงที่สุด โชคดีที่กล้องที่พกอยู่คราวนี้สามารถขยายได้เยอะ



จบแล้ว แค่นี้แหละ ๕๐ หยวน รวดเร็วมาก นั่งเรือมาแค่ไม่ถึง ๕ นาที รวมเวลาถ่ายรูปอีก ๒-๓ นาทีแค่นั้น

แต่มันยังไม่จบแค่นี้ตรงที่ว่าเขามาบอกว่ายังมีที่ให้ดูมากกว่านี้อีก แต่ว่าต้องจ่ายเพิ่มอีกคนละ ๕๐ หยวน เราก็งงว่ามีแบบนี้ด้วยหรือ แบบว่าไม่เห็นเขาจะมีบอกไว้ก่อนเลย นึกว่าแค่ ๕๐ แล้วก็จบ

พวกเราคิดว่าจ่ายอีก ๕๐ คงจะแพงไป ไม่เอาดีกว่า แต่ปัญหาคืออีกคนที่มาด้วยเขาต้องการจะไปต่อ แต่เมื่อพวกเราบอกคนขับว่าจะไม่ไปต่อเขาก็จำเป็นต้องกลับด้วย แต่เขาก็ยังยืนยันว่ายังไงก็อยากไปต่อ ดังนั้นเขาจึงได้ตัดสินใจทำอะไรบางอย่างที่เราคาดไม่ถึง

นั่นคือเขาเสนอจะจ่ายให้คนขับเพิ่มอีก ๕๐ หยวน เพื่อให้คนขับออกเรือไปต่อ พอเราเห็นดังนี้ก็รู้สึกเกรงใจเขามากเลย ก็พยายามบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็บอกว่าไม่เป็นไร เห็นเราเป็นคนต่างชาติมาเที่ยวจีนทั้งทีก็เลยอยากให้สนุก ก็เลยจะช่วยออกแทนให้ เพราะถ้าเราไม่ยอมจ่ายเขาก็จะไม่ได้ไปต่อไปด้วย คนขับก็ลังเลอยู่สักพักหนึ่ง เพราะตามจริงเราสองคนควรจะจ่ายรวมกันเป็น ๑๐๐ แต่คนนี้จะเสนอให้เขาเพิ่มแค่ ๕๐ แต่สุดท้ายเขาก็ตกลง

เมื่อเขาขับต่อมาก็ทำให้เราได้เห็นตัวป้อมจากอีกด้าน



ระหว่างทางเขาขับซิ่งกว่าเดิมอีก ทำให้รู้สึกอยากกลับเข้าฝั่งเต็มที่เลย

ถึงแล้ว สถานที่ต่อไปที่เขาเรียกว่าวัดไห่เสิน (海神庙) แปลว่าวัดเทพแห่งท้องทะเล เป็นวัดที่ยื่นออกมากลางทะเล ดูแล้วสวยดี ได้มาดูจากทะเลแบบนี้ก็สวยดีไม่เลวเหมือนกัน แต่พอคิดถึงว่ากว่าจะมาถึงตรงนี้ได้จะต้องจ่ายรวมถึง ๑๐๐ ก็แบบว่า ไม่ว่าจะตีลังกาคิดกี่ตลบก็ไม่รู้สึกว่าจะคุ้มนัก โชคดีที่เจอคนจีนใจดีช่วยจ่ายให้ ไม่งั้นเราคงจะกลับตั้งแต่เห็นแค่ป้อมหัวมังกรเฒ่าแล้ว



ก็จบแค่นี้สำหรับจุดนี้ แต่ก็ยังไม่จบ คนขับเรือบอกว่ายังมีจุดต่อไปอีก ถ้าจะให้พาไปก็คิดตังเพิ่มอีก ไอ้เราก็สงสัยว่ามันจะยังมีอะไรอีกกันนะ แต่ไม่ว่ายังไงคราวนี้ก็ไม่ไปต่อแล้วแน่นอน ทั้งไม่มีตัง ทั้งเสียวเรือ ทั้งหนาว จะให้คุณคนที่มาด้วยเขาช่วยจ่ายให้อีกก็เกรงใจเกินไป แค่นี้ก็เกรงใจจะแย่อยู่แล้ว

สุดท้ายเขาก็ยื่นขอเสนอกับคนขับเรือว่า ให้พาเราไปส่งที่เดิมก่อน แล้วค่อยพาเขาไปที่ต่อไปคนเดียว โดยเขาจะจ่ายเพิ่มอีก ๑๐๐ รวมทั้งหมดก็เป็น ๒๕๐ เข้าไปแล้ว

เรื่องดูเหมือนจะจบลงได้ด้วยดี อย่างไรก็ตาม ขากลับนี่คนขับยังคงซิ่งให้ได้เสียวกันต่อไป แต่รอบนี้เริ่มชินแล้ว เลยมีอารมณ์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายระหว่างทาง

นี่ไงหน้าตาคนจีนผู้ใจดี พร้อมกับคุณลุงคนขับเรือ



ระหว่างทางเห็นคนกำลังลอยอยู่ในน้ำด้วย



รีบหาจังหวะซูมถ่ายทันใด ปรากฏว่าถ่ายติดชัดด้วย ดูเหมือนจะมาเก็บขยะ หนาวขนาดนี้ยังอุตส่าห์ลงน้ำ  คงทรมานแย่



ในที่สุดก็กลับมาถึงฝั่ง ได้เวลาบอกลาคุณคนใจดีกับลุงคนขับเรือ เขาส่งเราลงก็หันเรือกลับแล้วออกเรือต่อ



จบแล้ว ใช้เวลาทั้งหมดประมาณ ๒๐ นาทีเท่านั้น นี่ขนาดไปดูสองที่แถมยังหยุดคุยอยู่กลางน้ำอยู่ระยะหนึ่งด้วย ถ้าแวะแค่ป้อมเดียวแล้วกลับแต่แรกก็แค่ ๑๐ นาทีก็เสร็จแล้ว

พอลองมานึกแบบนี้แล้ว ราคาคนละ ๕๐ หยวน สมมุติว่ามีคนขึ้นครบ ๘ คน เขาก็ได้เงินรอบละ ๔๐๐ หยวนเข้าไปแล้ว แล้วเขาบอกว่าช่วงหน้าร้อนมีคนมาใช้บริการเยอะมากจนต้องต่อแถวคิวกันเลยด้วย

ถ้าสมมุติว่า ๑๐ นาที ได้ ๔๐๐ หยวน ชั่วโมงหนึ่งก็ได้ ๒,๔๐๐ หยวนเข้าไปแล้ว ถ้าทำวันละชั่วโมงไปตลอดเดือนละก็ จะกลายเป็น ๗๒,๐๐๐ หรือราวๆ ๓๖๐,๐๐๐ บาท เงินเดือนสูงกว่าคนจบปริญญามาทำงานใหม่ๆเป็นสิบเท่าเลย แค่ขับเรือเนี่ย ต่อให้หักค่าน้ำมัน ค่านายหน้าอะไรไป มันก็ยังกำไรสุดๆอยู่ดี

แต่ว่าถึงจะดูแพงขนาดนี้ก็ยังมีคนจะนั่งเรื่อยๆ คงเพราะด้วยความคิดว่าอุตส่าห์มาแล้ว ต่อให้แพงแค่ไหนก็อยากจะได้ออกไปเห็นกำแพงเมืองจีนที่ยื่นออกมาริมทะเลสักครั้ง เราเองก็ตัดสินใจขึ้นเรือด้วยความคิดแบบนั้น ถึงตอนนี้ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด มันก็คุ้มดีในแง่ที่ว่าอุตส่าห์มาถึงที่แล้วก็อยากจะออกเรือไปดูไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง ยิ่งครั้งนี้ได้เจอคนใจดีจนทำให้ได้ดูฟรีเพิ่มอีกที่ด้วย เห็นคนชอบว่าคนจีนกันว่านิสัยไม่ดี ไม่มีน้ำใจ แต่ถึงยังไงก็เหมารวมไม่ได้หรอก โดยเฉพาะพวกคนรุ่นหลังๆจะนิสัยดีกว่าพวกคนแก่ๆเยอะอย่างเห็นได้ชัด

นั่งเรือเสร็จก็ยังมาเดินชายหาดกันต่อ หาดที่นี่ก็สวยดีเหมือนกัน




มีคนไปยืนเล่นบนโขดหินกันเยอะ



มีอูฐด้วย ไม่รู้เขาเอามาทำอะไร ที่นี่ชายหาด ไม่ใช่ทะเลทราย



ม้าก็มี



ส่วนตรงนี้เป็นกำแพงที่ยื่นออกมาเกือบถึงทะเล แต่ไม่ใช่ส่วนของหัวมังกรเฒ่า กำแพงเริ่มจากหัวมังกรเฒ่าแล้ววกออกมาตรงนี้แล้วค่อยลากเข้าไปในตัวแผ่นดิน อย่างไรก็ตามเส้นทางหลังจากตรงส่วนนี้ไปแล้วนั้นพังไปแล้วไม่ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่มีแค่ส่วนริมทะเลเท่านั้น




ผ่านตรงนี้แล้วยังเดินต่อไปได้เรื่อยๆ
 


ตรงหินนั่นมีสองคนอยู่ เขากำลังทำอะไรกันอยู่นะ
 


ว่าแล้วก็ซูมกล้องเข้าไปเต็มที่ อืม... เลือกสถานที่ได้ดีจริงๆ



ภาพนี้สวยสุดแล้ว



นกเองก็ชอบเกาะโขดหิน เห็นมีอยู่เต็มไปหมดที่หินก้อนนี้ คงเพราะมนุษย์ไม่อาจย่างกรายไปถึง



ทางตันแค่นี้เพราะเขากั้น เข้าไปไม่ได้แล้ว



ถึงอย่างนั้นถ้าขยายเข้าไปก็ยังเห็นได้อยู่



จบการชมกำแพงเมืองจีนติดทะเลแล้ว โดยรวมแล้วก็คิดว่าแค่เดินชมจากริมชายหาดแบบนี้ก็เพียงพอจะ ไม่ต้องถึงกับเสีย ๕๐ หยวนเพื่อออกไปกลางทะเล แต่มันก็ทำให้ได้อีกมุมมองซึ่งสวยจริงๆ จะยอมเสียเงินเพื่อออกไปหรือไม่ก็แล้วแต่คนจะคิดเลย



ต่อไปก็ได้เวลาไปชมสถานที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ตามที่คนขับรถบอกแล้ว เขาก็พาขึ้นรถแล้วขับมาต่ออีกแค่นิดเดียวก็เจออาคารอย่างที่เห็นนี้



สถานที่นั้นเรียกว่าสวนอภินิหาริย์กำแพงเมืองจีน (长城奇观园, ฉางเฉิงฉีกวานหยวน)



ภายในก็จะมืดๆ มีพวกฉากและรูปปั้นแสดงเรื่องราวตำนานต่างๆเกี่ยวกับกำแพงเมืองจีน หนึ่งในนั้นที่ดูเหมือนจะเป็นตัวเอกของเรื่องก็คือเมิ่งเจียงหนวี่ ภายในได้ยินเสียงร้องไห้ของเมิ่งเจียงหนวี่ ดูน่ากลัว



นี่เองที่คนขับรถบอกว่าจะพามาดูที่ร้องไห้ของเมิ่งเจียงหนวี่ ได้ยินเสียงร้องจริงๆด้วย แต่นี่มันไม่ใช่ของจริงสักหน่อย และตามตำนานเมิ่งเจียงหนวี่ก็ไม่น่าจะมาร้องไห้ตรงนี้ได้ด้วยสิ สรุปแล้วถูกหลอกให้มาที่ที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาซะแล้ว

เรื่องเล่าต่างๆภายในก็มีมากมาย ก็ดีอยู่ เพียงแต่เหมือนตอนนั้นอารมณ์มันไม่ใช่อยากจะมาดูอะไรแบบนั้น อยากมาดูอะไรที่เป็นของโบราณมากกว่าของที่ถูกขึ้นขึ้นมาใหม่

รูปจำลองผู้คนที่ทรมานในการสร้างกำแพงเมืองจีน



เมิ่งเจียงหนวี่ปรากฏตัว




แล้วก็อะไรอีกหลายอย่างที่ไม่ได้ตั้งใจดูสักเท่าไหร่





ภายในไม่ค่อยใหญ่ เดินนิดเดียวก็เสร็จแล้ว จากนั้นก็ข้ามมาอีกอาคาร



ในนี้มีพระพุทธรุป และรูปวาดที่ผนังเต็มไปหมด ก็สวยดี




พระนอนก็มี



ก็หมดแค่นี้ ถ้าถามว่าคุ้มหรือเปล่าละก็ ส่วนตัวคิดว่ามันไม่ได้มีอะไรมากขนาดนั้น ก็ยังดีว่าราคาแค่ ๓๐ เลยไม่ได้รู้สึกว่าไม่คุ้มอะไรขนาดนั้น เพียงแต่มันผิดแผนเพราะไม่ได้ตั้งใจจะมาดูอะไรแบบนี้

แต่ที่จริง ๓๐ นี่เป็นราคาสำหรับนักเรียนนะ ถ้าเป็นคนธรรมดาจะจ่ายแพงกว่านั้น แต่ว่าเท่าไหร่นี่ไม่ได้ดูมาให้ดีเหมือนกัน สรุปแล้วคือที่จริงที่นี่ค่าเข้าแพงกว่าวัดเมิ่งเจียงหนวี่ที่ตั้งใจจะไปตอนแรกเสียอีก เพียงแต่ว่าใช้บัตรนักเรียนลดได้เลยถูกกว่านั่นเอง

บางคนอาจจะชอบก็ได้เพราะมันพูดถึงตำนานอะไรต่างๆ แต่ก็รู้สึกเล็กเกินไปหน่อย แล้วบรรยากาศข้างในก็มืดๆครึมๆ แถมมีเสียงหลอนๆของเมิ่งเจียงหนวี่อยู่ด้วย ถ้าใครกลัวผีอาจมองว่ามันเป็นบ้านผีสิงได้ ลองดูข้อมูลตามเว็บก็เห็นหลายคนบอกว่าสถานที่นี้หลอกลวง ถูกคนขับรถพามาทั้งๆที่ไม่อยู่ในแผนเช่นกัน ไม่แนะนำให้เข้าไปเลย แน่นอนคิดว่าคนขับต้องได้ค่านายหน้าไม่น้อยถึงได้พยายามจะพามาที่นี่กันนัก

เนื่องจากคนขับรถพามาแบบไม่ได้บอก แถมหลอกว่าเป็นที่ที่เมิ่งเจียงหนวี่ร้องไห้ ทั้งๆที่จริงๆมันเป็นแค่สถานที่เล่าตำนานเฉยๆ และทำให้เราไม่ได้ไปวัดตามที่วางแผนไว้ตอนแรกด้วย ก็เลยทำให้รู้สึกไม่ได้พอใจกับที่นี่นัก เช่นเดียวกับพวกคนจีนที่แสดงความเห็นไว้ตามเว็บต่างๆ

จากนั้นเราก็ออกมาบริเวณที่มีป้ายทางเข้าไปหัวมังกร แต่ไม่ได้ไปต่อเพราะคนขับรถบอกว่าเขาไม่ให้รถเข้าไปต่อแล้ว ก็เลยไม่ได้เข้าไปดูแล้วยืนยันว่าราคาค่าเข้าที่หน้าประตูจริงๆว่ามันเป็น ๑๓๕ จริงๆหรือเปล่า





เสร็จจากตรงนี้เขาก็พาไปที่ย่านโบราณต่อ ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟนัก ตอนนั้นกำลังจะสี่โมงแล้ว กำลังหิวเต็มที่เพราะมัวแต่เที่ยวแล้วข้าวเที่ยงก็ยังไม่ได้กิน คนขับบอกว่าจะแนะนำร้านอร่อยๆให้ แต่เรากับเพื่อนก็แอบคุยกันว่าสงสัยต้องพาไปร้านที่ให้ค่านายหน้าแน่นอนเลย

แต่ว่าก่อนจะไปกิน เขาพาไปเที่ยวสถานที่ที่หนึ่งซึ่งอยู่ในย่านโบราณ เรียกว่าเทียนเซี่ยตี้อีกวาน (天下第一关) ซึ่งแปลว่าด่านแรกแห่งพื้นพิภพ เพราะว่าที่นี่เป็นด่านแรกของกำแพงเมืองจีน ซึ่งอยู่ถัดจากบริเวณหัวมังกรเฒ่า ถ้าเป็นสมัยก่อนกำแพงเมืองจีนจะเชื่อมจากหัวมังกรเฒ่ามาผ่านตรงนี้แล้วลากต่อไปยังกำแพงด่านอื่นๆที่อยู่ทางตะวันตกต่อไป แต่ว่าตอนนี้กำแพงดั้งเดิมพังไปเยอะแล้ว ส่วนหัวมังกรเฒ่าเองก็เป็นของที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ ปัจจุบันกำแพงส่วนด่านนี้ก็เหลือแค่ส่วนที่ล้อมรอบเมืองโบราณ



กำแพงเมืองจีนส่วนนี้นอกจากจะทอดตัวยาวแล้วยังล้อมรอบเมืองโบราณด้วย โดยหอป้อมของด่านนี้ถือเป็นประตูตะวันออกของย่านโบราณ ทางฝั่งตะวันออกของป้อมนี้จะเป็นด้านนอกกำแพงเมืองจีน ดังนั้นเมืองสมัยโบราณจึงสร้างทางตะวันตกของกำแพง แล้วเมืองนี้ก็ทำหน้้าที่เป็นเมืองหน้าด่านอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ที่นี่ก็อยู่นอกแผนเช่นเดียวกับที่ตะกี้ ที่วางแผนไว้ทีแรกคือถ้ามาเมืองโบราณก็ไม่ได้กะจะจ่ายอะไรแล้ว และคนขับรถเองก็บอกว่าที่นี่ไม่น่าสนใจหรอก ตอนที่เขาพูดงี้เราก็คิดในใจว่า พูดอย่างนี้แสดงว่าเขาไม่ได้ค่านายหน้าสำหรับที่นี่แน่นอนเลย ถ้าไม่มีค่านายหน้าให้เขาก็คงไม่อยากให้เราไป

เมื่อลงมาดูรายละเอียดก็เห็นว่าค่าบัตรผ่านประตูราคา ๕๐ หยวน ก็แพงอีกแล้ว แถมไม่มีบัตรลดให้สำหรับนักเรียนด้วย และที่น่าเสียดายก็คือตั๋วนี้ถ้าเป็นช่วงฤดูซบเซาจะราคาเหลือครึ่งราคาเหลือ ๒๕ ถ้าเป็นแบบนั้นอาจจะเข้าก็ได้ แต่ช่วงซบเซานั้นคือเดือนพฤศจิกายนถึงมีนาคม เราไปเดือนตุลาคมแบบนี้แม้คนไม่มากก็ยังถือเป็นฤดูคับคั่ง ยังแพงอยู่

และอีกอย่างคือว่าที่นี่เข้าไปก็คือไปปีนกำแพงเมือง แต่วันนี้ได้ปีนกำแพงเมืองจีนที่ด่านจิ่วเหมินโข่วมา ก็คิดว่าพอแล้ว สุดท้ายเลยตัดสินใจไม่เข้า

นอกจากค่าบัตรผ่านประตู ๕๐ หยวนแล้ว ยังเห็นมีเขียนค่าเข้าชมสถานที่อื่นๆภายในบริเวณย่านโบราณด้วย รวมแล้วมีขายบัตรราคาเหมา ๑๑๐ หยวน ชมทุกอย่าง ซึ่งก็มีพวกหอกลอง หอระฆัง แล้วก็หออะไรอีกหลายๆแห่งภายในบริเวณ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยเที่ยวย่านโบราณมาแล้วหลายเมือง พวกสถานที่แบบนี้ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องเข้า โดยทั่วไปการเที่ยวย่านโบราณนี่แค่ได้เดินภายในชมบรรยากาศก็เพียงพอแล้ว ดังนั้นแต่ไหนแต่ไรเลยไม่ได้วางแผนไว้ว่าจะมาเสียเงินในย่านนี้

แต่ถึงไม่เข้าไปข้างในก็สามารถถ่ายตัวป้อมได้ ดังนั้นก็ขอแค่ถ่ายภาพป้อมเอาไว้ก่อนละกัน ให้ได้รู้ว่ามาแล้ว ไหนๆก็ตัดสินใจจะไม่เข้า เท่านี้ก็ประหยัดไปได้อีก ๕๐ หยวน



ที่จริงพอมาหาข้อมูลดูอีกทีก็พบว่าจริงๆแล้วน่าเข้าไปนะ ก็เลยรู้สึกเสียดายอยู่ เพราะว่าการเดินกำแพงรอบตัวเมืองจะทำให้ชมทิวทัศน์ย่านโบราณจากมุมสูงได้ เคยทำแบบนี้มาแล้วตอนไปเที่ยวเมืองโบราณผิงเหยา (平遥) ประทับใจมากเลย สำหรับที่แม้จะไม่อาจเทียบเท่าผิงเหยาได้เลยก็ตาม แต่ก็น่าจะสวย แล้วอีกอย่างคือนอกกำแพงมีคูน้ำอยู่ ก็น่าจะสวยไปอีก มันจะสวยคนละแบบกับเวลาปีนกำแพงเมืองจีนบนเขา

ปัญหาคือวันนั้นรู้สึกว่าจ่ายไปเยอะมากแล้ว และจากการที่เห็นราคาอะไรต่างๆของที่นี่ดูแพงจนไม่สมเหตุสมผล ทำให้รู้สึกกลัวว่าที่นี่เองก็จ่ายไปแล้วจะไม่มีอะไร ไม่กล้าเข้าที่ที่ไม่ได้หาข้อมูลมาล่วงหน้า ยิ่งงบที่เตรียมมาก็เหลือน้อย

ถ้าอยากเห็นว่าภาพย่านโบราณสวยๆที่มองจากบนกำแพงเมืองเป็นยังไงดูได้ที่บันทึกที่ไปเที่ยวผิงเหยามา https://phyblas.hinaboshi.com/20120423



พอออกจากเทียนเซี่ยตี้อีกวาน เขาก็พาเรานั่งรถมายังร้านอาหารซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของย่านโบราณ เป็นร้านที่ขายซื่อเถียวเปาจึ (四条包子) เป็นของขึ้นชื่อของแถบย่านโบราณของซานไห่กวานนี้ เรียกได้ว่ามาแถบนี้ต้องหาทาน



พอลงถึงเขาก็เข้าไปในร้านแล้วคุยกับคนพนักงานในร้าน แนะนำเมนูให้ด้วย ถึงตรงนี้ยิ่งทำให้สงสัยขึ้นอีกว่าเขาต้องได้ค่านายหน้าแน่เลย ไม่งั้นแค่มาส่งก็พอแล้ว



แต่ว่าอาหารร้านนี้ถูกจริงๆ เราไปสั่งซาลาเปาลูกละ ๑ หยวนกินกันคนละ ๒ ลูก รวมเป็น ๔ ลูก และข้าวต้มราคา ๑.๕ หยวนคนละชาม แค่นี้ก็พออยู่ท้องแล้ว สรุปแล้วจ่ายไปคนละ ๓.๕ หยวนเท่านั้นเอง สำหรับมื้อนี้ คนขับรถเขาถึงกับตกใจถามว่าทำไมเรากินน้อยจัง เขาคงอึ้งเพราะอุตส่าห์พามาแล้ว เพราะว่าปกติคนจีนเขากินกันเยอะ แต่เราเป็นคนไทยกินน้อย อยากรู้เหมือนกันว่าเราซื้อแค่ ๗ หยวนแบบนี้เขาจะได้ค่านายหน้าเท่าไหร่...

เท่าที่ลองทานดูก็อร่อยจริงๆนะ มันก็เหมือนซาลาเปาที่ทานประจำที่ปักกิ่งก็ประมาณนี้ เลยไม่รู้ว่าต่างกันยังไง



สั่งอาหารเสร็จคนขับรถก็ขอตัวลา เราก็จ่ายค่าเหมารถ ๑๕๐ หยวนให้เขาไป

ทานเสร็จก็มาเดินย่านโบราณ ขณะนั้นเวลาสี่โมงครึ่งแล้ว ตะวันเริ่มคล้อย



ใจกลางเมืองเป็นที่ตั้งของหอกลอง (鼓楼, กู่โหลว) หอนี้สามารถขึ้นไปได้ แต่ต้องเสียค่าเข้า ก็เลยไม่ได้ขึ้นไป



ถ้าเลี้ยวขวา ก็คือทางทิศตะวันออกก็จะเป็นทางไปยังเทียนเซี่ยตี้อีกวาน ซึ่งเราเพิ่งจะจากมาเมื่อครู่ จึงไม่ได้เดินทางนั้น



เราเดินไปทางเหนือต่อ ซึ่งเป็นทางที่หันออกนอกเมือง เห็นภูเขาอยู่เบื้องหน้า



ระหว่างทางเจออูฐด้วย ไม่รู้เป็นตัวเดียวกับที่เจอที่ชายทะเลเมื่อตอนบ่ายหรือเปล่า แยกไม่ออก แต่ม้าเป็นคนละตัวแน่นอน



บ้านเมืองตรงนี้ดูเก่าโทรมมาก เหมือนไม่มีคนมาอาศัยหรือเปิดร้านอยู่เป็นเวลานานแล้ว ผิดกับแถวประตูใต้ซึ่งคับคั่งกว่านี้ คงเพราะด้านเหนือนี้มันหันออกนอกเมืองเลยค่อนข้างร้าง บางบ้านกระจกแตกผุพังไม่มีการซ่อมแซม



ใช้เวลาเดินสักพักก็มาถึงกำแพงเมืองทางฝั่งเหนือ



สภาพกำแพงเมืองเก่าๆ ย้อนแสงอาทิตย์สวยๆยามเย็น




ที่กำแพงเห็นติดประกาศนำจับ เขาเขียนว่าใครช่วยจับคนนี้ได้มีรางวัลแสนหยวน!



หลังจากเดินจนสุดประตูเหนือแล้วก็ไม่มีอะไรแล้ว เราก็เดินกลับไปทางประตูใต้ เพราะถนนหลักอยู่ทางใต้



ออกมาจากประตูใต้ก็เจอป้ายรถเมล์ ก็ไปรอเพื่อขึ้นรถเมล์ไปยังสถานีรถไฟฉินหวงเต่า โดยสาย ๒๕ แล้วไปต่อรถที่ป้ายตงก๋างหลี่ (东港里)



บรรยากาศบนรถเมล์



ใช้เวลาประมาณ ๔๕ นาทีเพื่อเดินทางมาถึงป้ายตงก๋างหลี่ จากนั้นก็ต่อรถเมล์สาย ๗ ซึ่งจะไปสุดสายที่สถานีรถไฟ



ระหว่างทางก็มีเปิดหน้าต่างรถเมล์ออกมาถ่ายภาพตัวเมืองยามค่ำ



ใช้เวลาประมาณ ๒๕ นาที ในที่สุดก็มาถึงสถานีฉินหวงเต่า



บรรยากาศในตัวสถานี มีห้องรออยู่แค่ห้องเดียว ดูกว้างขวางและสะอาดดี ตอนที่มาถึงนั้นเพิ่งจะยังไม่ทุ่มหนึ่งเลย แต่รถไฟออกเวลา 20:06 ต้องรอชั่วโมงกว่า แต่ก็ช่วยไม่ได้ เพราะจองตั๋วช้าจนไม่มีรอบที่เร็วกว่านี้ ระหว่างรอก็ซื้อบะหมี่ถ้วยมาชงทาน ราคา ๕ หยวน ซึ่งแพงว่าซื้อข้างนอก แต่ก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่น่าทานไปกว่า



พอใกล้เวลาออกรถคือ 20:06 ก็ตรวจตั๋วแล้วลงมารอที่ชานชลา



แล้วรถก็มาถึง ได้เวลากลับปักกิ่งแล้ว รถไฟถึงสถานีปักกิ่งเวลา 22:22 แล้วเราก็รีบไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อกลับหอทันที ซึ่งก็ยังทันรถไฟฟ้ารอบสุดท้ายเพราะมันหมดตอนห้าทุ่ม



แล้วการเที่ยวหนึ่งวันเต็มก็จบลงเพียงเท่านี้



รวมเบ็ดเสร็จ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด
- ค่ารถไฟ ขาไป + ขากลับ ๘๗.๕ + ๙๒.๕ = ๑๘๐
- ค่าเหมารถ ๗๕
- ค่าเข้าชม จิ่วเหมินโข่ว + นั่งเรือชมหัวมังกร + สวนอภินิหาริย์กำแพงเมืองจีน ๘๐ + ๕๐ + ๓๐ = ๑๖๐
- ค่าอาหาร ซาลาเปา + บะหมี่ถ้วย ๓.๕ + ๕ = ๘.๕
- ค่ารถเมล์ ๑ + ๒ = ๓
๑๘๐ + ๗๕ + ๑๖๐ + ๘.๕ + ๓ = ๔๒๖.๕ หยวน

ถือว่าแพงกว่าที่วางแผนไว้ตอนแรกเล็กน้อยเพราะค่าบัตรเข้าชมสถานที่ซึ่งแพงว่าข้อมูลที่เขียนในอินเทอร์เน็ตเนื่องจากการเพิ่งปรับราคาใหม่ แต่ที่ถูกเกินคาดคือค่าอาหาร ตอนแรกคิดว่าถ้ากินตามสถานที่เที่ยวจะแพง แต่เพราะว่าที่นี่เป็นย่านชุมชนอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นก็เลยไม่แพง

ก็เหมือนจะมีอะไรไม่เป็นไปตามที่หวังไว้บ้าง แต่ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นประสบการณ์ เรื่องการหลอกนักท่องเที่ยวเนี่ยเป็นธรรมดาที่ต้องระวังอย่างมากในการเที่ยวจีน ประสบการณ์ตลอด ๒ ปีที่อยู่จีนมานี้ก็ทำให้รู้ซึ้ง และทุกครั้งที่เจอก็ยิ่งเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นเวลาจะพลาดมันก็พลาด ไม่เป็นไร ไม่ว่าใครก็ผิดพลาดกันได้ ต่อให้ระวังแค่ไหนสิ่งไม่คาดคิดเกิดได้เสมอ

พอพลาดก็หยิบมาเล่า อย่างน้อยก็ถือว่าเอาประสบการณ์มาแบ่ง เป็นข้อมูล เผื่อใครอยากไปเที่ยวจะได้ระวังด้วย

ปกติเวลาเขียนเล่าถึงที่เที่ยวเราอยากจะลงข้อมูลให้ละเอียดที่สุดอยู่ แต่สำหรับที่นี่ข้อมูลที่ตัวเองไปเจอที่โน่นเองกับข้อมูลที่หาตามเว็บไม่ค่อยตรงกัน แม้แต่ข้อมูลในเว็บเอง แต่ละคนก็บอกไม่เหมือนกันอีกด้วย อย่างเรื่องราคาค่าเข้าเนี่ย แต่ละคนบอกคนละราคากันเลย ค่านั่งรถด้วย เลยน่าแปลกว่าเมืองนี้มันมีอะไรไม่ชอบมาพากล

อย่างไรก็ตาม เที่ยววันนี้รู้สึกประทับใจมากตั้งแต่ที่แรกที่ไปมาคือด่านจิ่วเหมินโข่ว แล้วอีกอย่างตัวซานไห่กวานเองนั้นก็ถือว่าเป็นที่เที่ยวที่ดี น่ามาเที่ยว ทั้งสวยงามและมีประวัติศาสตร์ เพียงแต่ถ้าไม่มีเรื่องอะไรไม่ชอบมาพากลพวกนี้ด้วยจะดีกว่านี้มาก

บางคนอาจมีความคิดว่าไหนๆก็มาเที่ยวแล้ว จ่ายมากหน่อยก็ไม่เห็นเป็นไร จะได้ไม่เสียดายภายหลังว่าอุตส่าห์มาแล้วไม่ได้ทำอะไร
แต่ยังไงก็ตาม ก็ต้องประมาณงบประมาณในกระเป๋าตัวเองด้วย เผื่อไว้เที่ยวที่อื่นต่อหลังจากนั้นอีก เพราะถ้าเที่ยวรอบเดียวแล้วทุ่มหมดตัวไปเลยก็คงจะไม่คุ้ม
อย่างไรก็ตาม เรื่องพวกนี้แล้วแต่คนจะคิด ถ้าหากมีเงินมากก็คงไม่ต้องคิดมากจริงๆ




สุดท้ายนี้คิดว่ายังไงก็ยังแนะนำให้มาเที่ยวที่นี่กันอยู่ เที่ยวนี้รู้สึกว่าคุ้มค่าดี เป็นสถานที่ที่น่าเที่ยวจริงๆ เพียงแต่ต้องวางแผนมาดี รู้ว่ามีเป้าหมายจะไปที่ไหนบ้าง แล้วก็ระวังให้มากๆ อันนี้คนจีนเองเขาก็เตือนมาเหมือนกัน มีคนเจอปัญหาบ่อยจริงๆ

ก็หวังว่าที่เล่าไปทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่ต้องการไปเที่ยวที่นั่นต่อไป



-----------------------------------------

囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧囧

ดูสถิติของหน้านี้

หมวดหมู่

-- ประเทศจีน >> จีนแผ่นดินใหญ่ >> เหอเป่ย์
-- ท่องเที่ยว >> ทะเล
-- ท่องเที่ยว >> มรดกโลก
-- ท่องเที่ยว >> เรือ

ไม่อนุญาตให้นำเนื้อหาของบทความไปลงที่อื่นโดยไม่ได้ขออนุญาตโดยเด็ดขาด หากต้องการนำบางส่วนไปลงสามารถทำได้โดยต้องไม่ใช่การก๊อปแปะแต่ให้เปลี่ยนคำพูดเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็เขียนในลักษณะการยกข้อความอ้างอิง และไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม ต้องให้เครดิตพร้อมใส่ลิงก์ของทุกบทความที่มีการใช้เนื้อหาเสมอ

สารบัญ

รวมคำแปลวลีเด็ดจากญี่ปุ่น
มอดูลต่างๆ
-- numpy
-- matplotlib

-- pandas
-- manim
-- opencv
-- pyqt
-- pytorch
การเรียนรู้ของเครื่อง
-- โครงข่าย
     ประสาทเทียม
ภาษา javascript
ภาษา mongol
ภาษาศาสตร์
maya
ความน่าจะเป็น
บันทึกในญี่ปุ่น
บันทึกในจีน
-- บันทึกในปักกิ่ง
-- บันทึกในฮ่องกง
-- บันทึกในมาเก๊า
บันทึกในไต้หวัน
บันทึกในยุโรปเหนือ
บันทึกในประเทศอื่นๆ
qiita
บทความอื่นๆ

บทความแบ่งตามหมวด



ติดตามอัปเดตของบล็อกได้ที่แฟนเพจ

  ค้นหาบทความ

  บทความแนะนำ

ตัวอักษรกรีกและเปรียบเทียบการใช้งานในภาษากรีกโบราณและกรีกสมัยใหม่
ที่มาของอักษรไทยและความเกี่ยวพันกับอักษรอื่นๆในตระกูลอักษรพราหมี
การสร้างแบบจำลองสามมิติเป็นไฟล์ .obj วิธีการอย่างง่ายที่ไม่ว่าใครก็ลองทำได้ทันที
รวมรายชื่อนักร้องเพลงกวางตุ้ง
ภาษาจีนแบ่งเป็นสำเนียงอะไรบ้าง มีความแตกต่างกันมากแค่ไหน
ทำความเข้าใจระบอบประชาธิปไตยจากประวัติศาสตร์ความเป็นมา
เรียนรู้วิธีการใช้ regular expression (regex)
การใช้ unix shell เบื้องต้น ใน linux และ mac
g ในภาษาญี่ปุ่นออกเสียง "ก" หรือ "ง" กันแน่
ทำความรู้จักกับปัญญาประดิษฐ์และการเรียนรู้ของเครื่อง
ค้นพบระบบดาวเคราะห์ ๘ ดวง เบื้องหลังความสำเร็จคือปัญญาประดิษฐ์ (AI)
หอดูดาวโบราณปักกิ่ง ตอนที่ ๑: แท่นสังเกตการณ์และสวนดอกไม้
พิพิธภัณฑ์สถาปัตยกรรมโบราณปักกิ่ง
เที่ยวเมืองตานตง ล่องเรือในน่านน้ำเกาหลีเหนือ
ตระเวนเที่ยวตามรอยฉากของอนิเมะในญี่ปุ่น
เที่ยวชมหอดูดาวที่ฐานสังเกตการณ์ซิงหลง
ทำไมจึงไม่ควรเขียนวรรณยุกต์เวลาทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ

ไทย

日本語

中文